ความกลัวและความโลภในการเทรด

IUX Markets Bonus

ความกลัวและความโลภเป็นอารมณ์พื้นฐานที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจในการเทรด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักเทรดมือใหม่ การเข้าใจและจัดการกับอารมณ์เหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้นักเทรดสามารถทำกำไรได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว บทความนี้จะอธิบายถึงผลกระทบของความกลัวและความโลภต่อการเทรด พร้อมทั้งนำเสนอเทคนิคและกลยุทธ์ในการจัดการกับอารมณ์เหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความกลัวในการเทรด

ความกลัวในบริบทของการเทรดหมายถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อนักเทรดรู้สึกถึงภัยคุกคามต่อเงินทุนหรือกำไรของตน ความกลัวมักนำไปสู่การตัดสินใจแบบป้องกันตัวเอง ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อผลการเทรดในระยะยาว

ผลกระทบของความกลัวต่อการเทรด:

  1. การปิดกำไรเร็วเกินไป: นักเทรดอาจรีบปิดสถานะที่มีกำไรเล็กน้อยเพราะกลัวว่าราคาจะกลับทิศทาง ทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไรที่มากกว่า
  2. การไม่กล้าเปิดสถานะ: แม้จะมีโอกาสที่ดี นักเทรดอาจลังเลและไม่กล้าเปิดสถานะเพราะกลัวการขาดทุน
  3. การไม่ยอมตัดขาดทุน: ความกลัวที่จะยอมรับความผิดพลาดอาจทำให้นักเทรดถือครองสถานะที่ขาดทุนไว้นานเกินไป หวังว่าราคาจะกลับมา
  4. การวิเคราะห์มากเกินไป (Analysis Paralysis): ความกลัวอาจทำให้นักเทรดใช้เวลามากเกินไปในการวิเคราะห์ข้อมูล จนพลาดโอกาสในการเทรดที่ดี

ตัวอย่าง: นาย ก เป็นนักเทรดมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มเทรด Forex ได้ไม่นาน เขาเห็นโอกาสที่ดีในการเปิดสถานะ Long EUR/USD เนื่องจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานบ่งชี้ว่าราคามีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเขาเพิ่งขาดทุนจากการเทรดครั้งก่อน ความกลัวทำให้เขาลังเลและไม่กล้าเปิดสถานะ ในที่สุดเขาก็พลาดโอกาสในการทำกำไร เมื่อราคา EUR/USD ปรับตัวขึ้นตามที่เขาคาดการณ์ไว้

ความโลภในการเทรด

ความโลภในการเทรดหมายถึงความต้องการที่จะได้กำไรมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยง ความโลภมักนำไปสู่การตัดสินใจที่ก้าวร้าวและเสี่ยงเกินไป ซึ่งอาจส่งผลเสียอย่างรุนแรงต่อพอร์ตการลงทุน

ผลกระทบของความโลภต่อการเทรด:

  1. การเพิ่มขนาดการเทรดโดยไม่มีเหตุผล: นักเทรดอาจเพิ่มขนาดการเทรดมากเกินไปเพื่อหวังกำไรที่มากขึ้น โดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
  2. การถือครองสถานะนานเกินไป: ความโลภอาจทำให้นักเทรดไม่ยอมปิดกำไรตามแผน หวังว่าราคาจะขึ้นไปอีก จนในที่สุดราคาอาจกลับทิศทางและทำให้กำไรหายไป
  3. การเทรดบ่อยเกินไป (Overtrading): นักเทรดอาจพยายามเทรดทุกโอกาสที่เห็น แม้ว่าจะไม่ใช่โอกาสที่ดีพอ เพียงเพื่อหวังทำกำไรให้ได้มากที่สุด
  4. การละเลยการบริหารความเสี่ยง: ความโลภอาจทำให้นักเทรดละเลยการใช้ Stop Loss หรือการจำกัดความเสี่ยงต่อการเทรด เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรมากขึ้น
 YWO Promotion

ตัวอย่าง: นางสาว ข เป็นนักเทรดที่มีประสบการณ์พอสมควร เธอเพิ่งทำกำไรได้ดีจากการเทรด Bitcoin ในช่วงที่ผ่านมา ความสำเร็จนี้ทำให้เธอรู้สึกมั่นใจมากและต้องการทำกำไรให้ได้มากขึ้นอีก เธอจึงตัดสินใจเพิ่มขนาดการเทรดเป็น 2 เท่าของปกติในการเทรดครั้งต่อไป โดยไม่ได้วิเคราะห์ความเสี่ยงอย่างรอบคอบ เมื่อตลาด Bitcoin เกิดความผันผวนอย่างรุนแรง เธอจึงประสบกับการขาดทุนที่มากกว่าปกติ ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อพอร์ตการลงทุนของเธอ

ความกลัวและความโลภในการเทรด
ความกลัวและความโลภในการเทรด

การระบุและจัดการกับความกลัวการขาดทุน

การจัดการกับความกลัวการขาดทุนเป็นทักษะสำคัญที่นักเทรดทุกคนต้องพัฒนา ต่อไปนี้เป็นวิธีการระบุและจัดการกับความกลัวการขาดทุนอย่างมีประสิทธิภาพ:

1. การระบุความกลัวการขาดทุน

ก่อนที่จะสามารถจัดการกับความกลัวได้ นักเทรดจำเป็นต้องรู้จักและระบุความกลัวของตนเองให้ได้ก่อน

วิธีการระบุความกลัว:

  1. สังเกตพฤติกรรมการเทรดของตนเอง:
    • คุณมักจะปิดกำไรเร็วเกินไปหรือไม่?
    • คุณลังเลในการเปิดสถานะแม้จะมีสัญญาณที่ดีหรือไม่?
    • คุณมักจะไม่ยอมตัดขาดทุนเมื่อราคาเคลื่อนที่ตรงข้ามกับที่คาดหรือไม่?
  2. ตระหนักถึงอาการทางร่างกาย:
    • หัวใจเต้นเร็วขึ้นเมื่อต้องตัดสินใจเทรดหรือไม่?
    • คุณรู้สึกเหงื่อออกที่ฝ่ามือเมื่อดูกราฟหรือไม่?
    • คุณรู้สึกอึดอัดในท้องเมื่อต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่สำคัญหรือไม่?
  3. วิเคราะห์ความคิดและความรู้สึก:
    • คุณมักจะคิดถึงแต่ด้านลบของการเทรดหรือไม่?
    • คุณรู้สึกวิตกกังวลมากเกินไปเกี่ยวกับผลลัพธ์ของแต่ละการเทรดหรือไม่?
    • คุณมีความคิดว่า “ฉันไม่อยากขาดทุนอีกแล้ว” บ่อยแค่ไหน?
  4. ทำแบบทดสอบประเมินความกลัวในการเทรด: นักเทรดสามารถทำแบบทดสอบง่ายๆ เพื่อประเมินระดับความกลัวของตนเอง โดยให้คะแนน 1-5 สำหรับแต่ละคำถาม (1 = ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง, 5 = เห็นด้วยอย่างยิ่ง)
    • ฉันมักจะลังเลในการเปิดสถานะ แม้ว่าจะมีสัญญาณที่ดี
    • ฉันมักจะปิดกำไรเร็วเกินไปเพราะกลัวว่าราคาจะกลับทิศทาง
    • ฉันรู้สึกเครียดและวิตกกังวลมากเมื่อต้องตัดสินใจเทรด
    • ฉันมักจะคิดถึงแต่ด้านลบของการเทรด เช่น โอกาสที่จะขาดทุน
    • ฉันมักจะไม่ยอมตัดขาดทุนเพราะกลัวที่จะยอมรับความผิดพลาด

    คะแนนรวมที่สูง (20-25 คะแนน) อาจบ่งชี้ว่าคุณมีความกลัวในการเทรดในระดับสูง และควรให้ความสำคัญกับการจัดการความกลัวนี้

2. การจัดการกับความกลัวการขาดทุน

เมื่อนักเทรดสามารถระบุความกลัวของตนเองได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการพัฒนากลยุทธ์ในการจัดการกับความกลัวเหล่านั้น

เทคนิคการจัดการความกลัว:

  1. เตรียมพร้อมด้วยการวางแผนการเทรดที่ละเอียด:
    • กำหนดจุด Stop Loss และ Take Profit ไว้ล่วงหน้าสำหรับทุกการเทรด
    • วางแผนการจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ โดยจำกัดความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้งไม่เกิน 1-2% ของเงินทุนทั้งหมด
    • เขียนแผนการเทรดและยึดมั่นในแผนนั้น โดยระบุเงื่อนไขการเข้าและออกจากตลาดอย่างชัดเจน

ตัวอย่างแผนการเทรด:

ตัวอย่างแผนการเทรด
ตัวอย่างแผนการเทรด
  1. ฝึกฝนการควบคุมอารมณ์:
    • ฝึกสติและการหายใจลึกๆ เมื่อรู้สึกกลัว: ทำการหายใจเข้าลึกๆ นับ 1-4 และหายใจออกช้าๆ นับ 1-4 ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง
    • ใช้เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิหรือการจินตนาการเชิงบวก: ฝึกทำสมาธิ 10-15 นาทีก่อนเริ่มเทรดทุกวัน
    • พัฒนาทัศนคติที่มองการขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้: จดบันทึกบทเรียนจากการขาดทุนทุกครั้ง
  2. ใช้การจัดการเงินทุนอย่างเหมาะสม:
    • จำกัดความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้งไม่เกิน 1-2% ของเงินทุนทั้งหมด
    • ใช้ Position Sizing ที่เหมาะสมเพื่อควบคุมความเสี่ยง: คำนวณขนาดการเทรดโดยใช้สูตร (เงินทุน x % ความเสี่ยงที่ยอมรับได้) / (จุดเข้า – จุด Stop Loss)
    • กระจายความเสี่ยงโดยการเทรดหลายคู่สกุลเงินหรือสินทรัพย์: ไม่เทรดเกิน 2-3 คู่สกุลเงินในเวลาเดียวกัน
  3. เพิ่มความรู้และทักษะในการเทรด:
    • ศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับตลาดและเครื่องมือการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง: กำหนดเวลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ชั่วโมงเพื่อศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ
    • ฝึกฝนในบัญชีทดลองเพื่อสร้างความมั่นใจ: ใช้บัญชีทดลองอย่างน้อย 3-6 เดือนก่อนเริ่มเทรดด้วยเงินจริง
    • วิเคราะห์ผลการเทรดของตนเองเพื่อปรับปรุงและพัฒนา: ทำการวิเคราะห์ผลการเทรดทุกสัปดาห์และทุกเดือน
  4. ใช้มุมมองระยะยาว:
    • มองการเทรดเป็นธุรกิจระยะยาว ไม่ใช่การพนัน: กำหนดเป้าหมายการเทรดเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส แทนที่จะมุ่งเน้นผลลัพธ์รายวัน
    • เน้นที่การทำกำไรอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว แทนที่จะมุ่งเน้นผลลัพธ์ของแต่ละการเทรด: ติดตามผลการเทรดโดยใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) ของผลตอบแทนรายสัปดาห์
    • ยอมรับว่าการขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ทั้งหมด: ตั้งเป้าหมายอัตราการชนะ (Win Rate) ที่เป็นไปได้ เช่น 60-65% แทนที่จะหวังว่าจะชนะทุกการเทรด
  5. สร้างระบบการให้รางวัลตัวเอง:
    • กำหนดรางวัลเล็กๆ น้อยๆ สำหรับการปฏิบัติตามแผนการเทรดอย่างเคร่งครัด: เช่น ดูหนังที่ชอบหลังจากเทรดตามแผนได้ 1 สัปดาห์
    • ใช้ระบบการให้คะแนนตัวเองสำหรับการปฏิบัติตามกฎการเทรด: ให้คะแนนตัวเอง 1-10 คะแนนทุกวันสำหรับการปฏิบัติตามแผน
    • ฉลองความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ในการควบคุมความกลัว: บันทึกช่วงเวลาที่คุณสามารถเอาชนะความกลัวและตัดสินใจเทรดได้อย่างมีเหตุผล
  6. ใช้เทคนิคการเผชิญหน้ากับความกลัว:
    • ทำรายการสิ่งที่คุณกลัวเกี่ยวกับการเทรดและจัดลำดับความกลัวจากน้อยไปมาก
    • เริ่มเผชิญหน้ากับความกลัวทีละขั้น เริ่มจากสิ่งที่กลัวน้อยที่สุด
    • ใช้เทคนิคการจินตนาการเชิงบวก: จินตนาการภาพตัวเองกำลังเทรดอย่างมั่นใจและประสบความสำเร็จ
  7. พัฒนาทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์:
    • ฝึกการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ: ใช้ checklist ในการวิเคราะห์ก่อนเทรดทุกครั้ง
    • แยกแยะระหว่างข้อเท็จจริงและความรู้สึก: บันทึกเหตุผลในการเทรดทุกครั้งว่าอิงจากข้อมูลใดบ้าง
    • ฝึกการคิดแบบความน่าจะเป็น: มองแต่ละการเทรดเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางสถิติ ไม่ใช่เหตุการณ์แยกส่วน

การควบคุมความโลภเพื่อหลีกเลี่ยงการเทรดเกินขนาด

ความโลภเป็นอีกหนึ่งอารมณ์ที่สามารถนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและการสูญเสียเงินทุนอย่างรวดเร็ว การควบคุมความโลภเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาวินัยในการเทรดและหลีกเลี่ยงการเทรดเกินขนาด

1. การระบุความโลภในการเทรด

ก่อนที่จะสามารถควบคุมความโลภได้ นักเทรดจำเป็นต้องรู้จักและระบุสัญญาณของความโลภในตัวเองให้ได้

วิธีการระบุความโลภ:

  1. สังเกตพฤติกรรมการเทรดที่ผิดปกติ:
    • คุณมักจะเพิ่มขนาดการเทรดโดยไม่มีเหตุผลทางเทคนิคหรือพื้นฐานหรือไม่?
    • คุณเทรดบ่อยเกินไปเพื่อหวังกำไรเพิ่มขึ้นหรือไม่?
    • คุณมักจะไม่ยอมปิดกำไรตามแผนเพราะคิดว่าราคาจะขึ้นไปอีกหรือไม่?
  2. ตรวจสอบอารมณ์และความรู้สึก:
    • คุณรู้สึกตื่นเต้นมากเกินไปเมื่อเห็นกำไรหรือไม่?
    • คุณมีความคิดว่า “ครั้งนี้ต้องรวยแน่ๆ” หรือ “ตลาดกำลังเป็นใจ” บ่อยแค่ไหน?
    • คุณรู้สึกอยากเทรดตลอดเวลาแม้จะไม่มีสัญญาณที่ดีหรือไม่?
  3. วิเคราะห์การตัดสินใจเทรด:
    • คุณมักจะละเลยการวิเคราะห์ความเสี่ยงเมื่อเห็นโอกาสทำกำไรหรือไม่?
    • คุณมักจะเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนหรือข้อมูลที่ขัดแย้งกับมุมมองของคุณหรือไม่?
    • คุณมักจะรู้สึกว่าต้องเทรดทุกการเคลื่อนไหวของตลาดหรือไม่?
  4. ทำแบบทดสอบประเมินความโลภในการเทรด: นักเทรดสามารถทำแบบทดสอบง่ายๆ เพื่อประเมินระดับความโลภของตนเอง โดยให้คะแนน 1-5 สำหรับแต่ละคำถาม (1 = ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง, 5 = เห็นด้วยอย่างยิ่ง)
    • ฉันมักจะเพิ่มขนาดการเทรดเมื่อกำลังทำกำไรได้ดี
    • ฉันรู้สึกว่าต้องเทรดทุกโอกาสที่เห็น แม้จะไม่แน่ใจ 100%
    • ฉันมักจะไม่ยอมปิดกำไรตามแผน เพราะคิดว่าราคาจะขึ้นไปอีก
    • ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากและอยากเทรดมากขึ้นเมื่อตลาดกำลังเป็นใจ
    • ฉันมักจะละเลยการใช้ Stop Loss เมื่อรู้สึกมั่นใจในการเทรด

    คะแนนรวมที่สูง (20-25 คะแนน) อาจบ่งชี้ว่าคุณมีแนวโน้มที่จะเทรดด้วยความโลภ และควรให้ความสำคัญกับการควบคุมความโลภนี้

2. วิธีควบคุมความโลภ

เมื่อนักเทรดสามารถระบุสัญญาณของความโลภในตนเองได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการพัฒนากลยุทธ์ในการควบคุมความโลภเหล่านั้น

เทคนิคการควบคุมความโลภ

  1. ตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผล:
    • กำหนดเป้าหมายกำไรที่เป็นไปได้และยึดมั่นในเป้าหมายนั้น: เช่น ตั้งเป้าหมายทำกำไร 2-3% ต่อเดือนแทนที่จะหวังทำกำไร 50% ในเวลาอันสั้น
    • ใช้ Take Profit อัตโนมัติเพื่อปิดกำไรเมื่อถึงเป้าหมาย: ตั้งค่า Take Profit ไว้ล่วงหน้าทุกครั้งที่เปิดสถานะ
    • ไม่ตั้งความคาดหวังที่สูงเกินไปในแต่ละการเทรด: มองแต่ละการเทรดเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของกระบวนการทำกำไรระยะยาว
  2. ใช้การจัดการเงินทุนอย่างเข้มงวด:
    • จำกัดขนาดการเทรดไม่ให้เกินที่กำหนดไว้ในแผน: เช่น ไม่เทรดเกิน 2% ของเงินทุนต่อการเทรดหนึ่งครั้ง ไม่ว่าจะรู้สึกมั่นใจแค่ไหน
    • ใช้ Trailing Stop เพื่อรักษากำไรที่มีอยู่แล้วในขณะที่ยังคงเปิดโอกาสให้กำไรเพิ่มขึ้น: ตั้ง Trailing Stop ที่ระยะ 2-3 เท่าของ Average True Range (ATR)
    • ไม่เพิ่มขนาดการเทรดเพียงเพราะมีกำไรในช่วงที่ผ่านมา: รักษาขนาดการเทรดให้คงที่ตามแผน แม้ว่าจะมีช่วงทำกำไรได้ดี
  3. ฝึกฝนการมีวินัย:
    • ยึดมั่นในแผนการเทรดที่วางไว้โดยไม่เปลี่ยนแปลงกลางคัน: เขียนแผนการเทรดไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและทบทวนก่อนเทรดทุกครั้ง
    • หยุดเทรดเมื่อถึงเป้าหมายกำไรประจำวันหรือสัปดาห์: กำหนดเป้าหมายกำไรต่อวันหรือต่อสัปดาห์ และหยุดเทรดทันทีเมื่อถึงเป้าหมาย
    • ไม่พยายามเอาคืนการขาดทุนด้วยการเทรดเพิ่ม: ตั้งกฎให้ตัวเองว่าจะไม่เพิ่มขนาดการเทรดหรือความถี่ในการเทรดหลังจากขาดทุน
  4. พัฒนามุมมองที่สมดุล:
    • มองตลาดอย่างเป็นกลาง ไม่ยึดติดกับความคิดว่าตลาดจะขึ้นหรือลงเพียงอย่างเดียว: วิเคราะห์ทั้งปัจจัยบวกและลบก่อนตัดสินใจเทรด
    • ยอมรับว่าไม่มีใครสามารถทำนายตลาดได้ 100%: เข้าใจว่าทุกการเทรดมีโอกาสขาดทุน ไม่ว่าจะวิเคราะห์ดีแค่ไหน
    • เข้าใจว่าการทำกำไรที่มากเกินไปในระยะสั้นมักมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น: ไม่หลงระเริงกับกำไรระยะสั้น แต่มุ่งเน้นที่การรักษาเงินทุนและการทำกำไรอย่างยั่งยืน
  5. ใช้เทคนิคการผ่อนคลายและการควบคุมจิตใจ:
    • ฝึกสติและการหายใจลึกๆ เมื่อรู้สึกตื่นเต้นหรือโลภมาก: ทำการหายใจลึกๆ 10 ครั้งก่อนตัดสินใจเพิ่มขนาดการเทรดหรือเปิดสถานะใหม่
    • ใช้เวลาพักระหว่างการเทรดเพื่อประเมินสถานการณ์อย่างมีเหตุผล: พักทุก 2 ชั่วโมงเพื่อทบทวนการตัดสินใจและอารมณ์ของตัวเอง
    • พูดคุยกับนักเทรดคนอื่นๆ เพื่อรับฟังมุมมองที่แตกต่าง: เข้าร่วมชุมชนนักเทรดออนไลน์หรือพูดคุยกับเพื่อนนักเทรดเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
  6. ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคและพื้นฐานอย่างเข้มงวด:
    • ตัดสินใจเทรดบนพื้นฐานของข้อมูลและการวิเคราะห์ ไม่ใช่ความรู้สึก: สร้าง checklist การวิเคราะห์และทำตามทุกครั้งก่อนเทรด
    • ใช้หลายเครื่องมือและตัวชี้วัดเพื่อยืนยันสัญญาณการเทรด: เช่น ใช้ Moving Averages ร่วมกับ RSI และ MACD เพื่อยืนยันแนวโน้ม
    • ไม่ละเลยปัจจัยพื้นฐานที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาในระยะยาว: ติดตามข่าวเศรษฐกิจและนโยบายการเงินที่อาจส่งผลต่อค่าเงิน
  7. จัดทำบันทึกการเทรดและทบทวนอย่างสม่ำเสมอ:
    • บันทึกเหตุผลในการเข้าและออกจากการเทรดทุกครั้ง: ใช้แบบฟอร์มบันทึกการเทรดที่ระบุเหตุผลในการเทรด ขนาดการเทรด และอารมณ์ขณะเทรด
    • วิเคราะห์การเทรดที่ขาดทุนเพื่อหาจุดที่ความโลภอาจมีอิทธิพล: ทบทวนการเทรดที่ขาดทุนทุกสัปดาห์และระบุว่าความโลภมีส่วนในการตัดสินใจหรือไม่
    • ใช้ข้อมูลจากบันทึกเพื่อปรับปรุงกลยุทธ์และควบคุมอารมณ์ในอนาคต: สร้างแผนปรับปรุงการเทรดทุกเดือนบนพื้นฐานของบทเรียนที่ได้จากบันทึกการเทรด
  8. สร้างระบบการให้รางวัลตัวเองที่ไม่เกี่ยวกับการเทรด:
    • กำหนดรางวัลสำหรับการปฏิบัติตามแผนการเทรดอย่างเคร่งครัด: เช่น ให้รางวัลตัวเองด้วยการทำกิจกรรมที่ชอบหลังจากปฏิบัติตามแผนได้ 1 เดือน
    • หากิจกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากการเทรดเพื่อผ่อนคลายและรักษาสมดุลในชีวิต: เช่น ทำงานอดิเรก ออกกำลังกาย หรือท่องเที่ยว
    • ไม่ใช้กำไรจากการเทรดเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จเพียงอย่างเดียว: ประเมินความสำเร็จจากการปฏิบัติตามแผนและการพัฒนาทักษะการเทรง ไม่ใช่แค่ตัวเลขกำไร

บทสรุป

ความกลัวและความโลภเป็นอารมณ์ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจในการเทรด การเรียนรู้ที่จะระบุและจัดการกับอารมณ์เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จในระยะยาวของนักเทรด

การจัดการกับความกลัวการขาดทุนต้องอาศัยการวางแผนที่ดี การจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม และการพัฒนาทัศนคติที่มองการขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ในขณะที่การควบคุมความโลภต้องอาศัยวินัย การตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผล และการยึดมั่นในแผนการเทรดที่วางไว้

นักเทรดที่ประสบความสำเร็จจะต้องฝึกฝนการควบคุมอารมณ์อย่างต่อเนื่อง ใช้การวิเคราะห์ที่เป็นกลางและมีเหตุผล และพัฒนาความเข้าใจในตนเองผ่านการทบทวนและวิเคราะห์ผลการเทรดอย่างสม่ำเสมอ

การพัฒนาทักษะในการจัดการกับความกลัวและความโลภไม่เพียงแต่จะช่วยปรับปรุงผลการเทรดเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเครียดและเพิ่มความพึงพอใจในการเทรดอีกด้วย นักเทรดที่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีจะมีโอกาสที่ดีกว่าในการประสบความสำเร็จในตลาดการเงินที่มีความผันผวนสูง

สุดท้ายนี้ การจัดการกับความกลัวและความโลภในการเทรดเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม นักเทรดควรมีความอดทนกับตนเองและมองว่าการพัฒนาทักษะทางอารมณ์เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตในฐานะนักเทรดมืออาชีพ การฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและการเรียนรู้จากประสบการณ์จะช่วยให้นักเทรดสามารถควบคุมอารมณ์และตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในระยะยาว

อ้างอิง

  1. Steenbarger, B. N. (2012). The Psychology of Trading: Tools and Techniques for Minding the Markets. John Wiley & Sons.
  2. Douglas, M. (2000). Trading in the Zone: Master the Market with Confidence, Discipline, and a Winning Attitude. Prentice Hall Press.
  3. Shull, D. (2012). Market Mind Games: A Radical Psychology of Investing, Trading and Risk. McGraw Hill Professional.
  4. Elder, A. (1993). Trading for a Living: Psychology, Trading Tactics, Money Management. John Wiley & Sons.
  5. Schwager, J. D. (2012). Market Wizards: Interviews with Top Traders. John Wiley
 Exness Promotion
PNFPB Install PWA using share icon

For IOS and IPAD browsers, Install PWA using add to home screen in ios safari browser or add to dock option in macos safari browser