Stochastic RSI คือ อะไร มีวิธีการตั้งค่า และใช้งานอย่างไร

IUX Markets Bonus

Stochastic RSI (StochRSI) เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์ตลาดการเงิน โดยเฉพาะในตลาด Forex และหุ้น เครื่องมือนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดย Tushar Chande และ Stanley Kroll ในปี 1994 เพื่อเพิ่มความไวในการระบุสภาวะ overbought (ซื้อมากเกินไป) และ oversold (ขายมากเกินไป) ของสินทรัพย์ StochRSI เป็นการผสมผสานระหว่าง Stochastic Oscillator และ Relative Strength Index (RSI) เพื่อสร้างตัวบ่งชี้ที่มีความละเอียดและแม่นยำมากขึ้น

ในบทความนี้ เราจะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับ Stochastic RSI ตั้งแต่ความหมาย วิธีการคำนวณ การตั้งค่า ไปจนถึงวิธีการใช้งานและกลยุทธ์การเทรดต่างๆ

Stochastic RSI คืออะไร
Stochastic RSI คืออะไร

Stochastic RSI คืออะไร

Stochastic RSI เป็นตัวบ่งชี้ทางเทคนิคที่ใช้วัดโมเมนตัมของตลาด โดยการนำแนวคิดของ Stochastic Oscillator มาประยุกต์ใช้กับค่า RSI แทนที่จะใช้กับราคาโดยตรง ผลลัพธ์ที่ได้คือตัวบ่งชี้ที่มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดมากกว่า RSI ธรรมดา และสามารถให้สัญญาณการซื้อขายได้เร็วกว่า

StochRSI มีค่าอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1 (หรือ 0 ถึง 100 ในบางกรณี) โดยทั่วไปแล้ว:

  • ค่าที่สูงกว่า 0.8 (หรือ 80) บ่งชี้ว่าตลาดอยู่ในภาวะ overbought
  • ค่าที่ต่ำกว่า 0.2 (หรือ 20) บ่งชี้ว่าตลาดอยู่ในภาวะ oversold

วิธีการคำนวณ Stochastic RSI

สูตรในการคำนวณ Stochastic RSI มีดังนี้:

StochRSI = (RSI – Lowest RSI) / (Highest RSI – Lowest RSI)

 YWO Promotion

โดยที่:

  • RSI คือค่า RSI ปัจจุบัน
  • Lowest RSI คือค่า RSI ต่ำสุดในช่วงเวลาที่กำหนด (มักจะใช้ 14 คาบเวลา)
  • Highest RSI คือค่า RSI สูงสุดในช่วงเวลาที่กำหนด (มักจะใช้ 14 คาบเวลา)

ขั้นตอนในการคำนวณ Stochastic RSI มีดังนี้:

  1. คำนวณค่า RSI ตามปกติ (มักใช้ค่า 14 คาบเวลา)
  2. เก็บค่า RSI ไว้อย่างน้อย 14 คาบเวลา
  3. หาค่า RSI สูงสุดและต่ำสุดในช่วง 14 คาบเวลาล่าสุด
  4. นำค่าที่ได้มาแทนในสูตร StochRSI

การตั้งค่า Stochastic RSI

การตั้งค่า Stochastic RSI มีพารามิเตอร์หลักๆ ดังนี้:

  1. RSI Length: จำนวนคาบเวลาที่ใช้ในการคำนวณ RSI (ค่าเริ่มต้นมักเป็น 14)
  2. StochRSI Length: จำนวนคาบเวลาที่ใช้ในการคำนวณ StochRSI (ค่าเริ่มต้นมักเป็น 14)
  3. %K Smoothing: จำนวนคาบเวลาที่ใช้ในการทำ smoothing ของเส้น %K (ค่าเริ่มต้นมักเป็น 3)
  4. %D Smoothing: จำนวนคาบเวลาที่ใช้ในการทำ smoothing ของเส้น %D (ค่าเริ่มต้นมักเป็น 3)
  5. Overbought Level: ระดับที่ถือว่าเป็นภาวะ overbought (มักใช้ 0.8 หรือ 80)
  6. Oversold Level: ระดับที่ถือว่าเป็นภาวะ oversold (มักใช้ 0.2 หรือ 20)

การปรับแต่งค่าเหล่านี้จะส่งผลต่อความไวและความแม่นยำของ StochRSI ดังนี้:

  • การเพิ่มค่า RSI Length และ StochRSI Length จะทำให้ตัวบ่งชี้มีความเรียบมากขึ้น แต่อาจตอบสนองช้าลง
  • การลดค่า RSI Length และ StochRSI Length จะทำให้ตัวบ่งชี้ไวขึ้น แต่อาจเกิดสัญญาณหลอกได้ง่าย
  • การเพิ่มค่า %K และ %D Smoothing จะช่วยลดสัญญาณหลอก แต่อาจทำให้สัญญาณล่าช้า
  • การปรับระดับ Overbought และ Oversold จะส่งผลต่อความถี่ของสัญญาณที่เกิดขึ้น

วิธีการใช้งาน Stochastic RSI

Stochastic RSI สามารถใช้งานได้หลากหลายวิธี ต่อไปนี้เป็นวิธีการใช้งานที่พบบ่อย:

  1. การระบุภาวะ Overbought และ Oversold:
    • เมื่อ StochRSI สูงกว่า 0.8 (หรือ 80) ถือว่าตลาดอยู่ในภาวะ overbought อาจพิจารณาขาย
    • เมื่อ StochRSI ต่ำกว่า 0.2 (หรือ 20) ถือว่าตลาดอยู่ในภาวะ oversold อาจพิจารณาซื้อ
  2. การหาจุดตัด (Crossovers):
    • เมื่อเส้น %K ตัดขึ้นผ่านเส้น %D เป็นสัญญาณซื้อ
    • เมื่อเส้น %K ตัดลงผ่านเส้น %D เป็นสัญญาณขาย
  3. การหา Divergence:
    • Bullish Divergence: เกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่ StochRSI ไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ เป็นสัญญาณที่ราคาอาจกลับตัวขึ้น
    • Bearish Divergence: เกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ StochRSI ไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ เป็นสัญญาณที่ราคาอาจกลับตัวลง
  4. การใช้ร่วมกับแนวโน้มหลัก:
    • ในแนวโน้มขาขึ้น: มองหาสัญญาณซื้อเมื่อ StochRSI กลับขึ้นมาจากระดับ oversold
    • ในแนวโน้มขาลง: มองหาสัญญาณขายเมื่อ StochRSI กลับลงมาจากระดับ overbought
  5. การใช้เป็นตัวบ่งชี้โมเมนตัม:
    • StochRSI สูงกว่า 0.5 (หรือ 50) บ่งชี้ว่าโมเมนตัมเป็นบวก
    • StochRSI ต่ำกว่า 0.5 (หรือ 50) บ่งชี้ว่าโมเมนตัมเป็นลบ

กลยุทธ์การเทรดโดยใช้ Stochastic RSI

  1. กลยุทธ์ Mean Reversion:
    • เข้าซื้อเมื่อ StochRSI ต่ำกว่า 0.2 และเริ่มกลับตัวขึ้น
    • เข้าขายเมื่อ StochRSI สูงกว่า 0.8 และเริ่มกลับตัวลง
    • ตั้ง Stop Loss ที่จุดสูงสุดหรือต่ำสุดล่าสุด
    • ตั้ง Take Profit ที่ค่ากลาง (0.5) ของ StochRSI
  2. กลยุทธ์ Trend Following:
    • ในแนวโน้มขาขึ้น: เข้าซื้อเมื่อ StochRSI กลับขึ้นมาจากระดับต่ำกว่า 0.2
    • ในแนวโน้มขาลง: เข้าขายเมื่อ StochRSI กลับลงมาจากระดับสูงกว่า 0.8
    • ใช้ Moving Average ยาวเพื่อยืนยันแนวโน้มหลัก
  3. กลยุทธ์ Breakout:
    • เข้าซื้อเมื่อ StochRSI ตัดขึ้นผ่านระดับ 0.8 อย่างแรง
    • เข้าขายเมื่อ StochRSI ตัดลงผ่านระดับ 0.2 อย่างแรง
    • ใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายเพื่อยืนยันการ breakout
  4. กลยุทธ์ Divergence:
    • มองหา Bullish Divergence เพื่อเข้าซื้อ
    • มองหา Bearish Divergence เพื่อเข้าขาย
    • ใช้ร่วมกับการวิเคราะห์แนวรับแนวต้านเพื่อหาจุดเข้าเทรดที่ดี
  5. กลยุทธ์ Double Stochastic RSI:
    • ใช้ StochRSI สองตัวที่มีการตั้งค่าต่างกัน (เช่น 14,3,3 และ 21,5,5)
    • มองหาจุดที่ทั้งสองตัวให้สัญญาณตรงกัน
    • เข้าเทรดเมื่อทั้งสองตัวยืนยันสัญญาณซื้อหรือขาย

ข้อควรระวังในการใช้ Stochastic RSI

แม้ว่า Stochastic RSI จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัดและข้อควรระวังในการใช้งาน ดังนี้:

  1. สัญญาณหลอก (False Signals):
    • StochRSI อาจให้สัญญาณหลอกบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในตลาดที่เคลื่อนไหวในกรอบแคบ (Ranging Market)
    • ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อยืนยันสัญญาณ
  2. ความล่าช้าของสัญญาณ (Signal Lag):
    • เนื่องจาก StochRSI เป็นตัวบ่งชี้ที่คำนวณจาก RSI ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ที่ล่าช้าอยู่แล้ว จึงอาจทำให้สัญญาณที่ได้ล่าช้ากว่าการเปลี่ยนแปลงของราคาจริง
    • ควรพิจารณาใช้ร่วมกับตัวบ่งชี้ที่นำหน้าราคา (Leading Indicators) เพื่อให้ได้มุมมองที่สมดุล
  3. การใช้งานในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน (Trending Markets):
    • StochRSI อาจให้สัญญาณ overbought หรือ oversold เป็นเวลานานในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน
    • ไม่ควรใช้สัญญาณ overbought/oversold เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจเข้าเทรด ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย
  4. การปรับแต่งพารามิเตอร์:
    • การปรับแต่งพารามิเตอร์มากเกินไปอาจนำไปสู่การ Overfitting กับข้อมูลในอดีต ซึ่งอาจไม่มีประสิทธิภาพในอนาคต
    • ควรทดสอบการตั้งค่าต่างๆ บนข้อมูลในอดีต (Backtesting) และทดลองใช้บนบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนนำไปใช้จริง
  5. ความเหมาะสมกับกรอบเวลา (Timeframe):
    • StochRSI อาจให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันในแต่ละกรอบเวลา
    • ควรเลือกกรอบเวลาที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของตนเอง และใช้การวิเคราะห์หลายกรอบเวลา (Multiple Timeframe Analysis) เพื่อให้ได้มุมมองที่ครอบคลุม

การใช้ Stochastic RSI ร่วมกับเครื่องมืออื่น

การใช้ Stochastic RSI ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์และลดความเสี่ยงจากสัญญาณหลอกได้ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้ StochRSI ร่วมกับเครื่องมืออื่น:

StochRSI กับ Moving Averages
StochRSI กับ Moving Averages
  1. StochRSI กับ Moving Averages:
    • ใช้ Moving Average เพื่อยืนยันแนวโน้มหลัก
    • เข้าซื้อเมื่อ StochRSI แสดงสัญญาณ oversold และราคาอยู่เหนือ Moving Average
    • เข้าขายเมื่อ StochRSI แสดงสัญญาณ overbought และราคาอยู่ใต้ Moving Average
  2. StochRSI กับ Fibonacci Retracements:
    • ใช้ Fibonacci Retracements เพื่อหาระดับแนวรับแนวต้านที่สำคัญ
    • มองหาสัญญาณ StochRSI ที่ระดับ Fibonacci สำคัญเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณ
  3. StochRSI กับ Bollinger Bands:
    • ใช้ Bollinger Bands เพื่อระบุความผันผวนของตลาด
    • เข้าซื้อเมื่อ StochRSI แสดงสัญญาณ oversold และราคาอยู่ใกล้แนวรับของ Bollinger Bands
    • เข้าขายเมื่อ StochRSI แสดงสัญญาณ overbought และราคาอยู่ใกล้แนวต้านของ Bollinger Bands
  4. StochRSI กับ MACD:
    • ใช้ MACD เพื่อยืนยันแนวโน้มและโมเมนตัม
    • มองหาการ Divergence ที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งใน StochRSI และ MACD
  5. StochRSI กับ Volume Indicators:
    • ใช้ตัวบ่งชี้ปริมาณการซื้อขาย เช่น On-Balance Volume (OBV) เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
    • สัญญาณ StochRSI ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงมักจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่า

การปรับแต่ง Stochastic RSI สำหรับสภาวะตลาดต่างๆ

StochRSI สามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดที่แตกต่างกันได้ ต่อไปนี้เป็นแนวทางในการปรับแต่ง StochRSI สำหรับสภาวะตลาดต่างๆ:

  1. ตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน (Trending Market):
    • เพิ่มค่า RSI Length และ StochRSI Length (เช่น 21 หรือ 34) เพื่อลดสัญญาณหลอก
    • ปรับระดับ Overbought/Oversold ให้สูงขึ้น (เช่น 0.9/0.1) เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มที่แข็งแกร่ง
    • ใช้ร่วมกับเครื่องมือบ่งชี้แนวโน้มอื่นๆ เช่น Moving Average
  2. ตลาดแกว่งตัว (Ranging Market):
    • ลดค่า RSI Length และ StochRSI Length (เช่น 9 หรือ 14) เพื่อให้ไวต่อการเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น
    • ใช้ระดับ Overbought/Oversold ที่ 0.8/0.2 หรือแคบกว่า
    • ใช้ร่วมกับเครื่องมือวัดช่วงการแกว่งตัว เช่น Bollinger Bands
  3. ตลาดที่มีความผันผวนสูง (Volatile Market):
    • เพิ่มค่า %K และ %D Smoothing (เช่น 5 หรือ 7) เพื่อลดสัญญาณหลอก
    • ใช้ EMA แทน SMA ในการคำนวณ เพื่อให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงล่าสุดได้ดีขึ้น
    • พิจารณาใช้ Double Stochastic RSI เพื่อยืนยันสัญญาณ
  4. ตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำ (Low Liquidity Market):
    • เพิ่มค่า RSI Length และ StochRSI Length (เช่น 34 หรือ 55) เพื่อลดผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ผิดปกติ
    • เพิ่มค่า %K และ %D Smoothing (เช่น 7 หรือ 9) เพื่อทำให้สัญญาณเรียบขึ้น
    • ใช้ร่วมกับเครื่องมือวัดปริมาณการซื้อขายเพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือของสัญญาณ

การทดสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพของ Stochastic RSI

การทดสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพของ Stochastic RSI เป็นขั้นตอนสำคัญในการพัฒนากลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้เป็นแนวทางในการทดสอบและปรับปรุง StochRSI:

  1. การทำ Backtesting:
    • ทดสอบ StochRSI กับข้อมูลราคาย้อนหลัง
    • ปรับแต่งพารามิเตอร์เพื่อหาค่าที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุดสำหรับสินทรัพย์และกรอบเวลาที่เฉพาะเจาะจง
    • ใช้ซอฟต์แวร์ Backtesting เพื่อทดสอบกลยุทธ์อย่างเป็นระบบ
  2. การใช้ Walk-Forward Analysis:
    • แบ่งข้อมูลเป็นส่วน In-sample และ Out-of-sample
    • ทดสอบและปรับแต่งพารามิเตอร์บนข้อมูล In-sample แล้วทดสอบกับข้อมูล Out-of-sample
    • ทำซ้ำกระบวนการนี้หลายๆ ครั้งเพื่อประเมินความสม่ำเสมอของผลลัพธ์
  3. การวิเคราะห์ความอ่อนไหว (Sensitivity Analysis):
    • ทดสอบผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงพารามิเตอร์แต่ละตัวต่อประสิทธิภาพของ StochRSI
    • หาช่วงของพารามิเตอร์ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีและมีเสถียรภาพ
  4. การใช้ Machine Learning ในการหาค่าพารามิเตอร์ที่เหมาะสม:
    • ใช้เทคนิค Optimization เช่น Genetic Algorithms หรือ Neural Networks
    • หาชุดพารามิเตอร์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด
    • ระวังการ Overfitting โดยใช้เทคนิค Cross-validation
  5. การทดสอบในสภาวะตลาดที่หลากหลาย:
    • ทดสอบ StochRSI ในช่วงตลาดขาขึ้น ขาลง และแกว่งตัว
    • ปรับแต่งพารามิเตอร์ให้มีประสิทธิภาพในทุกสภาวะตลาด หรือพิจารณาใช้ชุดพารามิเตอร์ที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละสภาวะตลาด
  6. การประเมินผลการทดสอบ:
    • พิจารณาทั้งผลตอบแทน (Return) และความเสี่ยง (Risk)
    • ใช้ตัวชี้วัดประสิทธิภาพต่างๆ เช่น Sharpe Ratio, Maximum Drawdown, Win Rate
    • วิเคราะห์ความสม่ำเสมอของผลลัพธ์ในช่วงเวลาต่างๆ

สรุป

Stochastic RSI เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่มีประโยชน์ในการวิเคราะห์ตลาดการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการระบุสภาวะ overbought และ oversold รวมถึงการหาจุดกลับตัวของราคา การผสมผสานระหว่าง Stochastic Oscillator และ Relative Strength Index ทำให้ StochRSI มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคามากกว่า RSI ธรรมดา และสามารถให้สัญญาณการซื้อขายได้เร็วกว่า

ประเด็นสำคัญที่ควรจำเกี่ยวกับ Stochastic RSI:

  1. ความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง: StochRSI สามารถปรับแต่งพารามิเตอร์ได้หลากหลาย ทำให้สามารถปรับใช้ได้กับหลายสภาวะตลาดและสไตล์การเทรด
  2. การใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น: เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงจากสัญญาณหลอก ควรใช้ StochRSI ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ
  3. ความสำคัญของการทดสอบ: การทำ Backtesting และ Forward Testing มีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนากลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพ
  4. ความเข้าใจในข้อจำกัด: StochRSI อาจให้สัญญาณหลอกในบางสภาวะตลาด โดยเฉพาะในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน
  5. การปรับตัวตามสภาวะตลาด: ควรปรับแต่งพารามิเตอร์ของ StochRSI ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

คำแนะนำสุดท้ายสำหรับการใช้งาน Stochastic RSI:

  1. เริ่มต้นด้วยการใช้ค่าพารามิเตอร์มาตรฐาน (เช่น 14, 14, 3, 3) และค่อยๆ ปรับแต่งตามความเหมาะสม
  2. ทดลองใช้ StochRSI บนบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนนำไปใช้กับเงินจริง
  3. ใช้ StochRSI เป็นส่วนหนึ่งของระบบการเทรดที่ครอบคลุม ไม่ควรใช้เพียงตัวเดียวในการตัดสินใจเทรด
  4. ศึกษาและทำความเข้าใจกับพฤติกรรมของ StochRSI ในสินทรัพย์และกรอบเวลาที่คุณสนใจเทรด
  5. ติดตามและประเมินผลการใช้งาน StochRSI อย่างสม่ำเสมอ และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หากพบว่าประสิทธิภาพลดลง
  6. พัฒนาความเข้าใจในปัจจัยพื้นฐานของตลาดควบคู่ไปกับการใช้เครื่องมือทางเทคนิค เพื่อให้มีมุมมองที่ครอบคลุมในการวิเคราะห์ตลาด

ในท้ายที่สุด Stochastic RSI เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักเทรดที่ต้องการวิเคราะห์โมเมนตัมของตลาดและหาจุดเข้าออกที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ ความสำเร็จในการใช้งานขึ้นอยู่กับความเข้าใจที่ถ่องแท้ในหลักการทำงาน การปรับแต่งที่เหมาะสม และการใช้งานร่วมกับเครื่องมือและวิธีการวิเคราะห์อื่นๆ การฝึกฝนและพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จาก Stochastic RSI ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดในการเทรดของคุณ

อ้างอิง

  1. Chande, T. S., & Kroll, S. (1994). The New Technical Trader. John Wiley & Sons.
  2. Corporate Finance Institute. (2024). Stochastic RSI (StochRSI). Retrieved from https://corporatefinanceinstitute.com/resources/career-map/sell-side/capital-markets/stochastic-rsi-stochrsi/
  3. Investopedia. (2024). Stochastic RSI (StochRSI) Definition, Examples, and Real-World Uses. Retrieved from https://www.investopedia.com/terms/s/stochrsi.asp
  4. Capital.com. (2024). What is Stochastic RSI? Retrieved from https://capital.com/stochastic-rsi-definition
  5. Murphy, J. J. (1999). Technical Analysis of the Financial Markets: A Comprehensive Guide to Trading Methods and Applications. New York Institute of Finance.
  6. Pring, M. J. (2002). Technical Analysis Explained: The Successful Investor’s Guide to Spotting Investment Trends and Turning Points. McGraw-Hill.
  7. Elder, A. (2002). Come Into My Trading Room: A Complete Guide to Trading. John Wiley & Sons.
  8. Wilder, J. W. (1978). New Concepts in Technical Trading Systems. Trend Research.
  9. Lane, G. C. (1984). Lane’s Stochastics. Technical Analysis of Stocks & Commodities, 2(3), 87-90.
  10. StockCharts.com. (2024). Stochastic RSI. Retrieved from https://school.stockcharts.com/doku.php?id=technical_indicators:stoch_rsi
 Exness Promotion
PNFPB Install PWA using share icon

For IOS and IPAD browsers, Install PWA using add to home screen in ios safari browser or add to dock option in macos safari browser