fast stochastic คือ อะไร มีวิธีการตั้งค่าใช้งานอย่างไร

IUX Markets Bonus

Fast Stochastic คืออะไร

Fast Stochastic เป็นตัวบ่งชี้ทางเทคนิคที่ใช้วัดโมเมนตัมของราคา โดยเปรียบเทียบราคาปิดล่าสุดกับช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุดในช่วงเวลาที่กำหนด แนวคิดหลักของ Fast Stochastic คือในตลาดขาขึ้น ราคามักจะปิดใกล้กับจุดสูงสุดของช่วง และในตลาดขาลง ราคามักจะปิดใกล้กับจุดต่ำสุดของช่วง

Fast Stochastic เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ได้รับความนิยมในการวิเคราะห์ตลาดการเงิน โดยเฉพาะในตลาด Forex และหุ้น เครื่องมือนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดย George Lane ในช่วงปลายทศวรรษ 1950 เพื่อวัดโมเมนตัมของราคาและระบุจุดที่ราคาอาจกลับตัว Fast Stochastic เป็นตัวบ่งชี้ประเภท oscillator ที่มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคามากกว่า Slow Stochastic

fast stochastic
fast stochastic

Fast Stochastic ประกอบด้วยสองเส้น:

  1. %K: เป็นเส้นหลักที่แสดงค่า Stochastic ในแต่ละจุด
  2. %D: เป็นเส้น Signal Line ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (Simple Moving Average) ของ %K

ค่าของ Fast Stochastic อยู่ระหว่าง 0 ถึง 100 โดยทั่วไปแล้ว:

  • ค่าที่สูงกว่า 80 บ่งชี้ว่าตลาดอยู่ในภาวะ overbought (ซื้อมากเกินไป)
  • ค่าที่ต่ำกว่า 20 บ่งชี้ว่าตลาดอยู่ในภาวะ oversold (ขายมากเกินไป)

วิธีการคำนวณ Fast Stochastic

สูตรในการคำนวณ Fast Stochastic มีดังนี้:

  1. %K = (ราคาปิดล่าสุด – ราคาต่ำสุดในช่วง) / (ราคาสูงสุดในช่วง – ราคาต่ำสุดในช่วง) * 100
  2. %D = SMA(3) ของ %K

โดยที่:

  • ราคาปิดล่าสุด คือราคาปิดของคาบเวลาปัจจุบัน
  • ราคาต่ำสุดในช่วง คือราคาต่ำสุดในช่วงเวลาที่กำหนด (มักใช้ 14 คาบเวลา)
  • ราคาสูงสุดในช่วง คือราคาสูงสุดในช่วงเวลาที่กำหนด (มักใช้ 14 คาบเวลา)
  • SMA(3) คือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย 3 คาบเวลา
 YWO Promotion

ขั้นตอนในการคำนวณ Fast Stochastic มีดังนี้:

  1. กำหนดช่วงเวลาที่จะใช้ในการคำนวณ (มักใช้ 14 คาบเวลา)
  2. หาราคาสูงสุดและต่ำสุดในช่วงเวลาที่กำหนด
  3. คำนวณ %K โดยใช้สูตรข้างต้น
  4. คำนวณ %D โดยหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 3 คาบเวลาของ %K

การตั้งค่า Fast Stochastic

การตั้งค่า Fast Stochastic มีพารามิเตอร์หลักๆ ดังนี้:

  1. Length: จำนวนคาบเวลาที่ใช้ในการคำนวณ %K (ค่าเริ่มต้นมักเป็น 14)
  2. %K Smoothing: จำนวนคาบเวลาที่ใช้ในการทำ smoothing ของ %K (สำหรับ Fast Stochastic มักเป็น 1)
  3. %D Smoothing: จำนวนคาบเวลาที่ใช้ในการคำนวณ %D (ค่าเริ่มต้นมักเป็น 3)
  4. Overbought Level: ระดับที่ถือว่าเป็นภาวะ overbought (มักใช้ 80)
  5. Oversold Level: ระดับที่ถือว่าเป็นภาวะ oversold (มักใช้ 20)

การปรับแต่งค่าเหล่านี้จะส่งผลต่อความไวและความแม่นยำของ Fast Stochastic ดังนี้:

  • การเพิ่มค่า Length จะทำให้ตัวบ่งชี้มีความเรียบมากขึ้น แต่อาจตอบสนองช้าลง
  • การลดค่า Length จะทำให้ตัวบ่งชี้ไวขึ้น แต่อาจเกิดสัญญาณหลอกได้ง่าย
  • การเพิ่มค่า %D Smoothing จะช่วยลดสัญญาณหลอก แต่อาจทำให้สัญญาณล่าช้า
  • การปรับระดับ Overbought และ Oversold จะส่งผลต่อความถี่ของสัญญาณที่เกิดขึ้น

วิธีการใช้งาน Fast Stochastic

Fast Stochastic สามารถใช้งานได้หลากหลายวิธี ต่อไปนี้เป็นวิธีการใช้งานที่พบบ่อย:

  1. การระบุภาวะ Overbought และ Oversold:
    • เมื่อ Fast Stochastic สูงกว่า 80 ถือว่าตลาดอยู่ในภาวะ overbought อาจพิจารณาขาย
    • เมื่อ Fast Stochastic ต่ำกว่า 20 ถือว่าตลาดอยู่ในภาวะ oversold อาจพิจารณาซื้อ
  2. การหาจุดตัด (Crossovers):
    • เมื่อเส้น %K ตัดขึ้นผ่านเส้น %D เป็นสัญญาณซื้อ
    • เมื่อเส้น %K ตัดลงผ่านเส้น %D เป็นสัญญาณขาย
  3. การหา Divergence:
    • Bullish Divergence: เกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่ Fast Stochastic ไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ เป็นสัญญาณที่ราคาอาจกลับตัวขึ้น
    • Bearish Divergence: เกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ Fast Stochastic ไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ เป็นสัญญาณที่ราคาอาจกลับตัวลง
  4. การใช้ร่วมกับแนวโน้มหลัก:
    • ในแนวโน้มขาขึ้น: มองหาสัญญาณซื้อเมื่อ Fast Stochastic กลับขึ้นมาจากระดับ oversold
    • ในแนวโน้มขาลง: มองหาสัญญาณขายเมื่อ Fast Stochastic กลับลงมาจากระดับ overbought
  5. การใช้เป็นตัวบ่งชี้โมเมนตัม:
    • Fast Stochastic สูงกว่า 50 บ่งชี้ว่าโมเมนตัมเป็นบวก
    • Fast Stochastic ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าโมเมนตัมเป็นลบ

กลยุทธ์การเทรดโดยใช้ Fast Stochastic

  1. กลยุทธ์ Mean Reversion:
    • เข้าซื้อเมื่อ Fast Stochastic ต่ำกว่า 20 และเริ่มกลับตัวขึ้น
    • เข้าขายเมื่อ Fast Stochastic สูงกว่า 80 และเริ่มกลับตัวลง
    • ตั้ง Stop Loss ที่จุดสูงสุดหรือต่ำสุดล่าสุด
    • ตั้ง Take Profit ที่ค่ากลาง (50) ของ Fast Stochastic
  2. กลยุทธ์ Trend Following:
    • ในแนวโน้มขาขึ้น: เข้าซื้อเมื่อ Fast Stochastic กลับขึ้นมาจากระดับต่ำกว่า 20
    • ในแนวโน้มขาลง: เข้าขายเมื่อ Fast Stochastic กลับลงมาจากระดับสูงกว่า 80
    • ใช้ Moving Average ยาวเพื่อยืนยันแนวโน้มหลัก
  3. กลยุทธ์ Breakout:
    • เข้าซื้อเมื่อ Fast Stochastic ตัดขึ้นผ่านระดับ 80 อย่างแรง
    • เข้าขายเมื่อ Fast Stochastic ตัดลงผ่านระดับ 20 อย่างแรง
    • ใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายเพื่อยืนยันการ breakout
  4. กลยุทธ์ Divergence:
    • มองหา Bullish Divergence เพื่อเข้าซื้อ
    • มองหา Bearish Divergence เพื่อเข้าขาย
    • ใช้ร่วมกับการวิเคราะห์แนวรับแนวต้านเพื่อหาจุดเข้าเทรดที่ดี
  5. กลยุทธ์ Double Stochastic:
    • ใช้ Fast Stochastic สองตัวที่มีการตั้งค่าต่างกัน (เช่น 14,3 และ 21,5)
    • มองหาจุดที่ทั้งสองตัวให้สัญญาณตรงกัน
    • เข้าเทรดเมื่อทั้งสองตัวยืนยันสัญญาณซื้อหรือขาย

ข้อควรระวังในการใช้ Fast Stochastic

แม้ว่า Fast Stochastic จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัดและข้อควรระวังในการใช้งาน ดังนี้:

  1. สัญญาณหลอก (False Signals):
    • Fast Stochastic มีความไวสูง จึงอาจให้สัญญาณหลอกบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในตลาดที่เคลื่อนไหวในกรอบแคบ (Ranging Market)
    • ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อยืนยันสัญญาณ
  2. การใช้งานในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน (Trending Markets):
    • Fast Stochastic อาจให้สัญญาณ overbought หรือ oversold เป็นเวลานานในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน
    • ไม่ควรใช้สัญญาณ overbought/oversold เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจเข้าเทรด ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย
  3. การปรับแต่งพารามิเตอร์:
    • การปรับแต่งพารามิเตอร์มากเกินไปอาจนำไปสู่การ Overfitting กับข้อมูลในอดีต ซึ่งอาจไม่มีประสิทธิภาพในอนาคต
    • ควรทดสอบการตั้งค่าต่างๆ บนข้อมูลในอดีต (Backtesting) และทดลองใช้บนบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนนำไปใช้จริง
  4. ความเหมาะสมกับกรอบเวลา (Timeframe):
    • Fast Stochastic อาจให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันในแต่ละกรอบเวลา
    • ควรเลือกกรอบเวลาที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของตนเอง และใช้การวิเคราะห์หลายกรอบเวลา (Multiple Timeframe Analysis) เพื่อให้ได้มุมมองที่ครอบคลุม
  5. การใช้งานในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง:
    • ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง Fast Stochastic อาจให้สัญญาณที่ไม่แม่นยำ
    • ควรพิจารณาใช้ค่า Length ที่ยาวขึ้นหรือเปลี่ยนไปใช้ Slow Stochastic ในช่วงเวลาดังกล่าว

การเปรียบเทียบระหว่าง Fast Stochastic และ Slow Stochastic

Fast Stochastic และ Slow Stochastic มีความแตกต่างกันในแง่ของความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา ดังนี้:

  1. ความไว (Sensitivity):
    • Fast Stochastic มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคามากกว่า ทำให้สามารถจับสัญญาณได้เร็วกว่า
    • Slow Stochastic มีความไวน้อยกว่า แต่สามารถกรองสัญญาณหลอกได้ดีกว่า
  2. การคำนวณ:
    • Fast Stochastic: %K คำนวณโดยตรงจากราคา, %D เป็น SMA 3 คาบของ %K
    • Slow Stochastic: %K เป็น SMA 3 คาบของ Fast %K, %D เป็น SMA 3 คาบของ Slow %K
  3. จำนวนสัญญาณ:
    • Fast Stochastic ให้สัญญาณบ่อยกว่า เหมาะสำหรับการเทรดระยะสั้น
    • Slow Stochastic ให้สัญญาณน้อยกว่า แต่มีความน่าเชื่อถือมากกว่า เหมาะสำหรับการเทรดระยะกลางถึงยาว
  4. การใช้งาน:
    • Fast Stochastic เหมาะสำหรับตลาดที่มีการเคลื่อนไหวในกรอบแคบ (Ranging Market)
    • Slow Stochastic เหมาะสำหรับตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน (Trending Market)

การใช้ Fast Stochastic ร่วมกับเครื่องมืออื่น

การใช้ Fast Stochastic ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์และลดความเสี่ยงจากสัญญาณหลอกได้ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้ Fast Stochastic ร่วมกับเครื่องมืออื่น:

  1. Fast Stochastic กับ Moving Averages:
    • ใช้ Moving Average เพื่อยืนยันแนวโน้มหลัก
    • เข้าซื้อเมื่อ Fast Stochastic แสดงสัญญาณ oversold และราคาอยู่เหนือ Moving Average
    • เข้าขายเมื่อ Fast Stochastic แสดงสัญญาณ overbought และราคาอยู่ใต้ Moving Average
  2. Fast Stochastic กับ Fibonacci Retracements:
    • ใช้ Fibonacci Retracements เพื่อหาระดับแนวรับแนวต้านที่สำคัญ
    • มองหาสัญญาณ Fast Stochastic ที่ระดับ Fibonacci สำคัญเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณ
  3. Fast Stochastic กับ Bollinger Bands:
    • ใช้ Bollinger Bands เพื่อระบุความผันผวนของตลาด
    • เข้าซื้อเมื่อ Fast Stochastic แสดงสัญญาณ oversold และราคาอยู่ใกล้แนวรับของ Bollinger Bands
    • เข้าขายเมื่อ Fast Stochastic แสดงสัญญาณ overbought และราคาอยู่ใกล้แนวต้านของ Bollinger Bands
  4. Fast Stochastic กับ RSI:
    • ใช้ RSI เพื่อยืนยันสัญญาณ overbought และ oversold
    • มองหาการ Divergence ที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งใน Fast Stochastic และ RSI
  5. Fast Stochastic กับ Volume Indicators:
    • ใช้ตัวบ่งชี้ปริมาณการซื้อขาย เช่น On-Balance Volume (OBV) เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
    • สัญญาณ Fast Stochastic ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงมักจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่า

การปรับแต่ง Fast Stochastic สำหรับสภาวะตลาดต่างๆ

การปรับแต่ง Fast Stochastic
การปรับแต่ง Fast Stochastic

Fast Stochastic สามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดที่แตกต่างกันได้ ต่อไปนี้เป็นแนวทางในการปรับแต่ง Fast Stochastic สำหรับสภาวะตลาดต่างๆ:

  1. ตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน (Trending Market):
    • เพิ่มค่า Length (เช่น 21 หรือ 34) เพื่อลดสัญญาณหลอก
    • ปรับระดับ Overbought/Oversold ให้สูงขึ้น (เช่น 90/10) เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มที่แข็งแกร่ง
    • ใช้ร่วมกับเครื่องมือบ่งชี้แนวโน้มอื่นๆ เช่น Moving Average
  2. ตลาดแกว่งตัว (Ranging Market):
    • ลดค่า Length (เช่น 5 หรือ 9) เพื่อให้ไวต่อการเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น
    • ใช้ระดับ Overbought/Oversold ที่ 80/20 หรือแคบกว่า
    • ใช้ร่วมกับเครื่องมือวัดช่วงการแกว่งตัว เช่น Bollinger Bands
  3. ตลาดที่มีความผันผวนสูง (Volatile Market):
    • เพิ่มค่า %D Smoothing (เช่น 5 หรือ 7) เพื่อลดสัญญาณหลอก
    • ใช้ EMA แทน SMA ในการคำนวณ %D เพื่อให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงล่าสุดได้ดีขึ้น
    • พิจารณาใช้ Double Stochastic เพื่อยืนยันสัญญาณ
  4. ตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำ (Low Liquidity Market):
    • เพิ่มค่า Length (เช่น 34 หรือ 55) เพื่อลดผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ผิดปกติ
    • เพิ่มค่า %D Smoothing (เช่น 5 หรือ 7) เพื่อทำให้สัญญาณเรียบขึ้น
    • ใช้ร่วมกับเครื่องมือวัดปริมาณการซื้อขายเพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือของสัญญาณ

สรุป

Fast Stochastic เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่มีประโยชน์ในการวิเคราะห์ตลาดการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการระบุสภาวะ overbought และ oversold รวมถึงการหาจุดกลับตัวของราคา ด้วยความไวที่สูงกว่า Slow Stochastic ทำให้ Fast Stochastic สามารถให้สัญญาณการซื้อขายได้เร็วกว่า แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงของสัญญาณหลอกที่สูงขึ้นเช่นกัน

ประเด็นสำคัญที่ควรจำเกี่ยวกับ Fast Stochastic:

  1. ความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง: Fast Stochastic สามารถปรับแต่งพารามิเตอร์ได้หลากหลาย ทำให้สามารถปรับใช้ได้กับหลายสภาวะตลาดและสไตล์การเทรด
  2. การใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น: เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงจากสัญญาณหลอก ควรใช้ Fast Stochastic ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ
  3. ความสำคัญของการทดสอบ: การทำ Backtesting และ Forward Testing มีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนากลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพ
  4. ความเข้าใจในข้อจำกัด: Fast Stochastic อาจให้สัญญาณหลอกในบางสภาวะตลาด โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูง
  5. การปรับตัวตามสภาวะตลาด: ควรปรับแต่งพารามิเตอร์ของ Fast Stochastic ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

คำแนะนำสุดท้ายสำหรับการใช้งาน Fast Stochastic:

  1. เริ่มต้นด้วยการใช้ค่าพารามิเตอร์มาตรฐาน (เช่น 14,3) และค่อยๆ ปรับแต่งตามความเหมาะสม
  2. ทดลองใช้ Fast Stochastic บนบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนนำไปใช้กับเงินจริง
  3. ใช้ Fast Stochastic เป็นส่วนหนึ่งของระบบการเทรดที่ครอบคลุม ไม่ควรใช้เพียงตัวเดียวในการตัดสินใจเทรด
  4. ศึกษาและทำความเข้าใจกับพฤติกรรมของ Fast Stochastic ในสินทรัพย์และกรอบเวลาที่คุณสนใจเทรด
  5. ติดตามและประเมินผลการใช้งาน Fast Stochastic อย่างสม่ำเสมอ และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หากพบว่าประสิทธิภาพลดลง
  6. พัฒนาความเข้าใจในปัจจัยพื้นฐานของตลาดควบคู่ไปกับการใช้เครื่องมือทางเทคนิค เพื่อให้มีมุมมองที่ครอบคลุมในการวิเคราะห์ตลาด

ในท้ายที่สุด Fast Stochastic เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักเทรดที่ต้องการวิเคราะห์โมเมนตัมของตลาดและหาจุดเข้าออกที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการเทรดระยะสั้น อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ ความสำเร็จในการใช้งานขึ้นอยู่กับความเข้าใจที่ถ่องแท้ในหลักการทำงาน การปรับแต่งที่เหมาะสม และการใช้งานร่วมกับเครื่องมือและวิธีการวิเคราะห์อื่นๆ

การฝึกฝนและพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จาก Fast Stochastic ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดในการเทรดของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการระบุจุดกลับตัวของราคา การยืนยันแนวโน้ม หรือการหาจุดเข้าออกที่เหมาะสม Fast Stochastic สามารถเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าในชุดเครื่องมือการเทรดของคุณ หากใช้อย่างถูกต้องและมีวินัย

อ้างอิง

  1. Lane, G. C. (1984). Lane’s Stochastics. Technical Analysis of Stocks & Commodities, 2(3), 87-90.
  2. Murphy, J. J. (1999). Technical Analysis of the Financial Markets: A Comprehensive Guide to Trading Methods and Applications. New York Institute of Finance.
  3. Pring, M. J. (2002). Technical Analysis Explained: The Successful Investor’s Guide to Spotting Investment Trends and Turning Points. McGraw-Hill.
  4. Elder, A. (2002). Come Into My Trading Room: A Complete Guide to Trading. John Wiley & Sons.
  5. Corporate Finance Institute. (2024). Fast Stochastic Indicator. Retrieved from https://corporatefinanceinstitute.com/resources/career-map/sell-side/capital-markets/fast-stochastic-indicator/
  6. Investopedia. (2024). The Difference Between Fast and Slow Stochastics. Retrieved from https://www.investopedia.com/articles/technical/073001.asp
  7. TradersAI. (2023). Understanding the Fast Stochastic Indicator in Trading. Retrieved from [source URL]
  8. StockCharts.com. (2024). Stochastic Oscillator. Retrieved from https://school.stockcharts.com/doku.php?id=technical_indicators:stochastic_oscillator
 Exness Promotion
PNFPB Install PWA using share icon

For IOS and IPAD browsers, Install PWA using add to home screen in ios safari browser or add to dock option in macos safari browser