ตัวอย่างของ hedging strategy การทำ Hedging

IUX Markets Bonus

Hedging เป็นกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงที่นักลงทุนและเทรดเดอร์ใช้เพื่อป้องกันการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากความผันผวนของตลาด โดยเฉพาะในตลาด Forex ที่มีความผันผวนสูง การทำ hedging สามารถช่วยลดความเสี่ยงและปกป้องพอร์ตการลงทุนได้ ในบทความนี้ เราจะอธิบายกลยุทธ์ hedging ที่ใช้กันทั่วไปพร้อมตัวอย่างประกอบ รวมถึงข้อควรพิจารณาในการนำไปใช้

ความสำคัญของการทำ Hedging ในตลาด Forex

ก่อนที่เราจะเจาะลึกลงไปในกลยุทธ์ต่างๆ เราควรเข้าใจว่าทำไมการทำ hedging จึงมีความสำคัญในตลาด Forex:

Hedging Strategies
Hedging Strategies
  1. ความผันผวนสูง: ตลาด Forex เป็นตลาดที่มีความผันผวนสูงและเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ ทำให้ราคาสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง
  2. ผลกระทบจากปัจจัยภายนอก: อัตราแลกเปลี่ยนได้รับผลกระทบจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น นโยบายการเงิน เหตุการณ์ทางการเมือง และสภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งยากที่จะคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ
  3. การใช้ Leverage: นักเทรด Forex มักใช้ leverage สูง ซึ่งแม้จะเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนเช่นกัน
  4. การป้องกันความเสี่ยงในธุรกิจระหว่างประเทศ: บริษัทที่ทำธุรกิจระหว่างประเทศต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน การทำ hedging ช่วยให้สามารถวางแผนทางการเงินได้แม่นยำมากขึ้น

ด้วยเหตุนี้ การทำ hedging จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการความเสี่ยงสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาด Forex ไม่ว่าจะเป็นนักเทรดรายย่อย นักลงทุนสถาบัน หรือบริษัทที่ทำธุรกิจระหว่างประเทศ

กลยุทธ์ Hedging ที่ใช้บ่อยในตลาด Forex

1. Direct Hedging (การป้องกันความเสี่ยงโดยตรง)

Direct hedging เป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุด โดยการเปิดสถานะตรงข้ามกับสถานะที่มีอยู่ในคู่สกุลเงินเดียวกัน

Direct Hedging
Direct Hedging

ตัวอย่าง: สมมติว่าคุณมีสถานะ Long 1 ล็อต EUR/USD ที่ราคา 1.2000 แต่คุณกังวลว่าราคาอาจจะลดลงในระยะสั้น คุณสามารถทำ direct hedge โดยการเปิดสถานะ Short 1 ล็อต EUR/USD ที่ราคาปัจจุบัน

ผลลัพธ์:

  • ถ้าราคา EUR/USD ลดลง สถานะ Short จะทำกำไร ชดเชยการขาดทุนจากสถานะ Long
  • ถ้าราคา EUR/USD เพิ่มขึ้น สถานะ Long จะทำกำไร ชดเชยการขาดทุนจากสถานะ Short
 YWO Promotion

ข้อดี:

  • ป้องกันความเสี่ยงได้ 100%
  • ง่ายต่อการเข้าใจและดำเนินการ

ข้อเสีย:

  • ไม่มีโอกาสทำกำไร
  • อาจมีค่าธรรมเนียมในการถือสถานะทั้งสองฝั่ง
  • บางโบรกเกอร์ไม่อนุญาตให้ทำ direct hedging

การนำไปใช้: Direct hedging เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่คุณต้องการรักษาสถานะ Long ไว้ในระยะยาว แต่กังวลเกี่ยวกับความผันผวนในระยะสั้น คุณสามารถใช้วิธีนี้เพื่อป้องกันความเสี่ยงชั่วคราวและปิดสถานะ Short เมื่อความไม่แน่นอนลดลง

2. Multiple Currency Pairs Hedging (การป้องกันความเสี่ยงด้วยหลายคู่สกุลเงิน)

วิธีนี้ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างคู่สกุลเงินที่มีความเกี่ยวข้องกันเพื่อลดความเสี่ยง

ตัวอย่าง: คุณมีสถานะ Long 1 ล็อต EUR/USD แต่ต้องการลดความเสี่ยงจากการแข็งค่าของ USD คุณสามารถเปิดสถานะ Long 1 ล็อต GBP/USD เพื่อเป็นการ hedge

เหตุผล: EUR/USD และ GBP/USD มักเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้นถ้า USD แข็งค่าขึ้น:

  • EUR/USD อาจลดลง ทำให้สถานะ Long ขาดทุน
  • แต่ GBP/USD ก็จะลดลงเช่นกัน ทำให้สถานะ Short ทำกำไร ชดเชยการขาดทุนบางส่วน

ข้อดี:

  • ยังมีโอกาสทำกำไรถ้าทั้งสองคู่สกุลเงินเคลื่อนไหวต่างกัน
  • สามารถใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ระหว่างคู่สกุลเงิน

ข้อเสีย:

  • ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยง 100%
  • ต้องติดตามหลายคู่สกุลเงิน
  • อาจมีค่าใช้จ่ายในการเปิดสถานะเพิ่ม

การนำไปใช้: วิธีนี้เหมาะสำหรับนักเทรดที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างคู่สกุลเงินต่างๆ และสามารถติดตามการเคลื่อนไหวของหลายคู่สกุลเงินพร้อมกันได้ นอกจากนี้ ยังเหมาะสำหรับสถานการณ์ที่คุณต้องการลดความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของสกุลเงินหลักเช่น USD

3. Options Hedging (การป้องกันความเสี่ยงด้วยออปชั่น)

การใช้ออปชั่นเป็นวิธีที่ยืดหยุ่นในการ hedge โดยให้สิทธิ์แต่ไม่ใช่ภาระผูกพันในการซื้อหรือขายสกุลเงินที่ราคาและเวลาที่กำหนด

Options Hedging
Options Hedging

ตัวอย่าง: คุณมีสถานะ Long 100,000 EUR/USD ที่ราคา 1.2000 และต้องการป้องกันความเสี่ยงจากการลดลงของราคา คุณสามารถซื้อ Put Option EUR/USD ที่ Strike Price 1.1900 อายุ 1 เดือน

ผลลัพธ์:

  • ถ้าราคา EUR/USD ลดลงต่ำกว่า 1.1900 คุณสามารถใช้สิทธิ์ขาย EUR/USD ที่ 1.1900 จำกัดการขาดทุนไว้
  • ถ้าราคา EUR/USD เพิ่มขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องใช้สิทธิ์ และยังได้ประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของราคา

ข้อดี:

  • จำกัดการขาดทุนแต่ยังมีโอกาสทำกำไรไม่จำกัด
  • มีความยืดหยุ่นสูง สามารถเลือก Strike Price และระยะเวลาได้

ข้อเสีย:

  • มีค่าใช้จ่ายในการซื้อออปชั่น (premium)
  • อาจมีความซับซ้อนสำหรับนักเทรดมือใหม่
  • สภาพคล่องของออปชั่น Forex อาจไม่สูงเท่าตลาด Spot

การนำไปใช้: Options Hedging เหมาะสำหรับนักเทรดที่ต้องการความยืดหยุ่นในการป้องกันความเสี่ยง และยินดีที่จะจ่ายค่า premium เพื่อแลกกับการจำกัดการขาดทุนแต่ยังคงมีโอกาสทำกำไรไม่จำกัด วิธีนี้เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่คุณคาดว่าอาจเกิดความผันผวนสูง แต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นไปในทิศทางใด

4. Correlation Hedging (การป้องกันความเสี่ยงด้วยสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์)

วิธีนี้ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างสกุลเงินและสินทรัพย์อื่น เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อลดความเสี่ยง

ตัวอย่าง: คุณมีสถานะ Long AUD/USD แต่กังวลว่าราคาทองคำที่ลดลงอาจส่งผลกระทบต่อค่าเงิน AUD (เนื่องจากออสเตรเลียเป็นผู้ส่งออกทองคำรายใหญ่) คุณสามารถเปิดสถานะ Short Gold เพื่อเป็นการ hedge

เหตุผล: ถ้าราคาทองคำลดลง:

  • AUD/USD อาจลดลง ทำให้สถานะ Long ขาดทุน
  • แต่สถานะ Short Gold จะทำกำไร ชดเชยการขาดทุนบางส่วน

ข้อดี:

  • ใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ระหว่างตลาด
  • สามารถกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่น

ข้อเสีย:

  • ความสัมพันธ์อาจไม่สมบูรณ์เสมอไป และอาจเปลี่ยนแปลงตามเวลา
  • ต้องติดตามหลายตลาด
  • อาจมีค่าใช้จ่ายในการเทรดสินทรัพย์หลายประเภท

การนำไปใช้: Correlation Hedging เหมาะสำหรับนักเทรดที่มีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสกุลเงินและสินทรัพย์อื่นๆ วิธีนี้สามารถใช้เพื่อกระจายความเสี่ยงและอาจให้โอกาสในการทำกำไรจากหลายแหล่ง อย่างไรก็ตาม ต้องระมัดระวังเนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์อาจเปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง

5. Time Hedging (การป้องกันความเสี่ยงด้วยเวลา)

วิธีนี้ใช้การเปิดสถานะในช่วงเวลาที่ต่างกันเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง

ตัวอย่าง: คุณต้องการ Long EUR/USD 400,000 ยูโร แต่กังวลว่าการเปิดสถานะทั้งหมดในครั้งเดียวอาจเสี่ยงเกินไป คุณสามารถแบ่งการเปิดสถานะออกเป็น 4 ครั้ง ครั้งละ 100,000 ยูโร ในช่วงเวลา 4 สัปดาห์

ผลลัพธ์:

  • ลดความเสี่ยงจากความผันผวนระยะสั้น
  • ราคาเฉลี่ยของการเปิดสถานะทั้งหมดจะเป็นตัวแทนของราคาตลาดในช่วง 4 สัปดาห์

ข้อดี:

  • ลดผลกระทบจากความผันผวนระยะสั้น
  • เหมาะสำหรับการเข้าสู่ตลาดด้วยปริมาณมาก
  • ช่วยลดความเสี่ยงจากการเลือกจังหวะเวลาที่ไม่เหมาะสม (Timing risk)

ข้อเสีย:

  • อาจพลาดโอกาสทำกำไรถ้าราคาเคลื่อนไหวในทิศทางที่ต้องการอย่างรวดเร็ว
  • อาจมีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมสูงขึ้นเนื่องจากต้องเปิดหลายคำสั่งซื้อขาย

การนำไปใช้: Time Hedging เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเข้าสู่ตลาดด้วยปริมาณมาก หรือนักเทรดที่ต้องการลดความเสี่ยงจากความผันผวนระยะสั้น วิธีนี้ยังเหมาะสำหรับสถานการณ์ที่คุณคาดว่าตลาดจะมีทิศทางที่ชัดเจนในระยะยาว แต่อาจมีความผันผวนในระยะสั้น

6. Cross-Currency Hedging

Cross-Currency Hedging เป็นวิธีการป้องกันความเสี่ยงโดยใช้คู่สกุลเงินที่สาม ซึ่งมีความสัมพันธ์กับทั้งสองสกุลเงินที่คุณต้องการ hedge

Cross Currency Hedging
Cross Currency Hedging

ตัวอย่าง: สมมติว่าคุณมีสถานะ Long USD/JPY แต่ต้องการ hedge ความเสี่ยงของ USD คุณอาจพิจารณาใช้ EUR/USD เป็นตัว hedge โดยการ Short EUR/USD

เหตุผล:

  • ถ้า USD อ่อนค่าลง USD/JPY อาจลดลง แต่ EUR/USD จะเพิ่มขึ้น ทำให้สถานะ Short EUR/USD ทำกำไร
  • ถ้า USD แข็งค่าขึ้น USD/JPY จะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ EUR/USD จะลดลง

ข้อดี:

  • สามารถ hedge ความเสี่ยงได้แม้ไม่มีคู่สกุลเงินโดยตรง
  • อาจมีค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมต่ำกว่าการใช้ตราสารอนุพันธ์

ข้อเสีย:

  • ความสัมพันธ์ระหว่างคู่สกุลเงินอาจไม่สมบูรณ์
  • ต้องติดตามหลายคู่สกุลเงิน
  • อาจเกิดความซับซ้อนในการคำนวณขนาดของสถานะที่เหมาะสม

การนำไปใช้: Cross-Currency Hedging เหมาะสำหรับนักเทรดที่มีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างคู่สกุลเงินต่างๆ วิธีนี้มีประโยชน์เมื่อคุณต้องการ hedge ความเสี่ยงของสกุลเงินที่ไม่มีคู่สกุลเงินโดยตรง หรือเมื่อต้องการหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่สูงในการใช้ตราสารอนุพันธ์

7. Forward Contract Hedging

Forward Contract เป็นข้อตกลงระหว่างสองฝ่ายในการซื้อหรือขายสกุลเงินที่ราคาและวันที่กำหนดในอนาคต วิธีนี้เหมาะสำหรับการป้องกันความเสี่ยงในระยะยาว

ตัวอย่าง: บริษัทของคุณคาดว่าจะได้รับเงิน 1 ล้านยูโรในอีก 3 เดือนข้างหน้า แต่ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากการอ่อนค่าของยูโรเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ คุณสามารถทำสัญญา Forward เพื่อขายยูโร 1 ล้านที่อัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ล่วงหน้าในอีก 3 เดือน

ข้อดี:

  • สามารถกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าได้ ทำให้วางแผนการเงินได้แม่นยำขึ้น
  • ไม่มีค่าใช้จ่ายล่วงหน้า (เช่น ค่า premium ในกรณีของ options)
  • เหมาะสำหรับการป้องกันความเสี่ยงในระยะยาว

ข้อเสีย:

  • ไม่มีความยืดหยุ่น ต้องทำตามสัญญาแม้ว่าอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดจะดีกว่า
  • อาจมีความเสี่ยงด้านเครดิตหากคู่สัญญาไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงได้
  • อาจไม่เหมาะสำหรับนักเทรดรายย่อย เนื่องจากมักใช้ในการทำธุรกรรมขนาดใหญ่

การนำไปใช้: Forward Contract Hedging เหมาะสำหรับบริษัทหรือนักลงทุนสถาบันที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อมีการคาดการณ์กระแสเงินสดในอนาคตที่แน่นอน

ข้อควรพิจารณาในการทำ Hedging

แม้ว่าการทำ hedging จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการจัดการความเสี่ยง แต่มีข้อควรพิจารณาดังต่อไปนี้:

ข้อควรพิจารณาในการทำ Hedging
ข้อควรพิจารณาในการทำ Hedging
  1. ต้นทุน: การทำ hedging มักมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวข้อง เช่น ค่า spread ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม หรือค่า premium ในกรณีของ options คุณต้องพิจารณาว่าต้นทุนนี้คุ้มค่ากับการป้องกันความเสี่ยงหรือไม่
  2. ความซับซ้อน: บางกลยุทธ์ hedging อาจมีความซับซ้อนและต้องการความเข้าใจในตลาดอย่างลึกซึ้ง คุณควรเลือกใช้กลยุทธ์ที่คุณเข้าใจอย่างถ่องแท้
  3. การจำกัดกำไร: การทำ hedging อาจจำกัดโอกาสในการทำกำไรหากตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อสถานะหลักของคุณ
  4. ความไม่สมบูรณ์: ไม่มีกลยุทธ์ hedging ใดที่สมบูรณ์แบบ 100% คุณอาจยังคงมีความเสี่ยงบางส่วนที่ไม่สามารถป้องกันได้
  5. การติดตามและปรับปรุง: การทำ hedging ไม่ใช่กลยุทธ์ “ตั้งแล้วลืม” คุณต้องติดตามและปรับปรุงสถานะ hedge ของคุณอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจว่ายังคงมีประสิทธิภาพ
  6. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง: ในบางกรณี การปิดสถานะ hedge อาจทำได้ยากหรือมีค่าใช้จ่ายสูงหากตลาดขาดสภาพคล่อง
  7. ผลกระทบทางภาษี: การทำ hedging อาจมีผลกระทบทางภาษี คุณควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อทำความเข้าใจผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

เทคนิคการเลือกกลยุทธ์ Hedging ที่เหมาะสม

การเลือกกลยุทธ์ hedging ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ต่อไปนี้คือเทคนิคที่จะช่วยคุณตัดสินใจ:

  1. ระบุความเสี่ยง: เริ่มต้นด้วยการระบุความเสี่ยงที่คุณต้องการป้องกันอย่างชัดเจน เช่น ความเสี่ยงจากการอ่อนค่าของสกุลเงิน หรือความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา
  2. พิจารณาระยะเวลา: กำหนดว่าคุณต้องการ hedge ความเสี่ยงในระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว ซึ่งจะช่วยในการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม เช่น options สำหรับระยะสั้นถึงกลาง หรือ forward contracts สำหรับระยะยาว
  3. ประเมินต้นทุน: เปรียบเทียบต้นทุนของแต่ละวิธี hedging รวมถึงค่าธรรมเนียม ค่า spread และค่า premium ต่างๆ เทียบกับระดับการป้องกันความเสี่ยงที่ได้รับ
  4. วิเคราะห์สภาพคล่อง: พิจารณาสภาพคล่องของเครื่องมือ hedging ที่คุณเลือก เพื่อให้มั่นใจว่าคุณสามารถเข้าและออกจากสถานะได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  5. ประเมินความซับซ้อน: เลือกกลยุทธ์ที่คุณเข้าใจอย่างถ่องแท้และสามารถจัดการได้ กลยุทธ์ที่ซับซ้อนอาจให้การป้องกันที่ดีกว่า แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงในการดำเนินการผิดพลาด
  6. พิจารณาความยืดหยุ่น: ประเมินว่าคุณต้องการความยืดหยุ่นมากน้อยเพียงใด เช่น options ให้ความยืดหยุ่นมากกว่า forward contracts แต่มักมีต้นทุนสูงกว่า
  7. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์: หากคุณเลือกใช้ correlation hedging หรือ cross-currency hedging ต้องวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์อย่างละเอียดและติดตามการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ
  8. ทดสอบกลยุทธ์: ใช้บัญชีทดลอง (demo account) หรือ backtesting เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของกลยุทธ์ hedging ที่คุณเลือกในสถานการณ์ตลาดต่างๆ
  9. พิจารณาข้อจำกัดทางกฎหมายและการกำกับดูแล: ตรวจสอบว่ากลยุทธ์ที่คุณเลือกสอดคล้องกับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องและนโยบายของโบรกเกอร์ของคุณ
  10. ประเมินผลกระทบต่อพอร์ตโดยรวม: พิจารณาว่ากลยุทธ์ hedging ที่คุณเลือกส่งผลต่อความเสี่ยงและผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ตการลงทุนอย่างไร

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้กลยุทธ์ Hedging ในสถานการณ์จริง

เพื่อให้เข้าใจการนำกลยุทธ์ hedging ไปใช้ในสถานการณ์จริงมากขึ้น ลองพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้:

สถานการณ์ 1: นักเทรดรายย่อย

สมมติว่าคุณเป็นนักเทรด Forex รายย่อยที่มีสถานะ Long EUR/USD 100,000 ยูโร ที่ราคา 1.1800 คุณคาดว่าในระยะยาว EUR จะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับ USD แต่กังวลว่าอาจมีความผันผวนในระยะสั้นเนื่องจากการประชุมของ Federal Reserve ที่กำลังจะมีขึ้น

กลยุทธ์ hedging ที่เหมาะสม:

  1. Options Hedging: ซื้อ Put Option EUR/USD ที่ Strike Price 1.1750 อายุ 1 เดือน เพื่อจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น
  2. Partial Direct Hedging: เปิดสถานะ Short EUR/USD 50,000 ยูโร เพื่อ hedge ครึ่งหนึ่งของสถานะ Long

เหตุผล: Options Hedging ให้การป้องกันความเสี่ยงโดยยังคงมีโอกาสทำกำไรไม่จำกัดหากราคาเพิ่มขึ้น ในขณะที่ Partial Direct Hedging ช่วยลดความเสี่ยงลงครึ่งหนึ่งโดยยังคงมีโอกาสทำกำไรจากสถานะ Long ที่เหลือ

สถานการณ์ 2: บริษัทนำเข้า

สมมติว่าคุณเป็นผู้จัดการการเงินของบริษัทนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่น บริษัทของคุณต้องจ่ายเงิน 100 ล้านเยนให้กับซัพพลายเออร์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า คุณกังวลว่าเยนอาจแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินท้องถิ่นของคุณ (สมมติว่าเป็น THB)

กลยุทธ์ hedging ที่เหมาะสม:

  1. Forward Contract: ทำสัญญา Forward เพื่อซื้อเยน 100 ล้านที่อัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ล่วงหน้าในอีก 3 เดือน
  2. Options Hedging: ซื้อ Call Option JPY/THB ที่ Strike Price ใกล้เคียงกับอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน อายุ 3 เดือน

เหตุผล: Forward Contract ช่วยให้บริษัทสามารถกำหนดต้นทุนที่แน่นอนล่วงหน้าได้ ในขณะที่ Options Hedging ให้ความยืดหยุ่นมากกว่าในกรณีที่เยนอ่อนค่าลง

สถานการณ์ 3: กองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ

สมมติว่าคุณเป็นผู้จัดการกองทุนที่ลงทุนในหุ้นของสหรัฐอเมริกา กองทุนของคุณมีมูลค่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คุณต้องการป้องกันความเสี่ยงจากการอ่อนค่าของดอลลาร์เทียบกับสกุลเงินท้องถิ่น (สมมติว่าเป็น THB) แต่ยังต้องการรักษาโอกาสในการทำกำไรจากการแข็งค่าของดอลลาร์

กลยุทธ์ hedging ที่เหมาะสม:

  1. Partial Hedging ด้วย Forward Contracts: ทำสัญญา Forward เพื่อขายดอลลาร์ 25 ล้าน (50% ของพอร์ต) ที่อัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
  2. Options Collar: ซื้อ Put Option USD/THB และขาย Call Option USD/THB ที่ Strike Price ต่างกัน เพื่อสร้างช่วงการป้องกันความเสี่ยง

เหตุผล: Partial Hedging ช่วยป้องกันความเสี่ยงบางส่วนในขณะที่ยังคงมีโอกาสทำกำไรจากการแข็งค่าของดอลลาร์ ส่วน Options Collar ให้การป้องกันความเสี่ยงที่ยืดหยุ่นกว่าโดยมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการซื้อ Put Option เพียงอย่างเดียว

สรุป

การทำ Hedging เป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการความเสี่ยงสำหรับนักเทรด Forex นักลงทุน และบริษัทที่มีธุรกรรมระหว่างประเทศ กลยุทธ์ hedging ที่เราได้กล่าวถึงในบทความนี้ ได้แก่ Direct Hedging, Multiple Currency Pairs Hedging, Options Hedging, Correlation Hedging, Time Hedging, Cross-Currency Hedging และ Forward Contract Hedging แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียของตัวเอง และเหมาะสมกับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน

การเลือกกลยุทธ์ hedging ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ระยะเวลาในการลงทุน ต้นทุนในการทำ hedging และความซับซ้อนของกลยุทธ์ นักเทรดและนักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบคอบและอาจใช้การผสมผสานกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อสร้างการป้องกันความเสี่ยงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสถานการณ์ของตน

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ การทำ hedging ไม่ได้รับประกันผลกำไรหรือขจัดความเสี่ยงทั้งหมด แต่เป็นเครื่องมือในการจัดการความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ นอกจากนี้ การทำ hedging อาจมีต้นทุนและอาจจำกัดโอกาสในการทำกำไรบางส่วน ดังนั้น นักเทรดและนักลงทุนควรประเมินความจำเป็นในการทำ hedging อย่างสม่ำเสมอและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดและเป้าหมายการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป

สุดท้ายนี้ การศึกษาและฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญในการใช้กลยุทธ์ hedging อย่างมีประสิทธิภาพ นักเทรดและนักลงทุนควรติดตามข่าวสารและการเปลี่ยนแปลงในตลาด Forex อย่างสม่ำเสมอ ทดลองใช้กลยุทธ์ต่างๆ ในบัญชีทดลองก่อนนำไปใช้จริง และไม่ลังเลที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำ hedging ด้วยความระมัดระวังและการวางแผนที่ดี การทำ hedging สามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องพอร์ตการลงทุนและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในตลาด Forex ที่มีความผันผวนสูง

 Exness Promotion
PNFPB Install PWA using share icon

For IOS and IPAD browsers, Install PWA using add to home screen in ios safari browser or add to dock option in macos safari browser