ขั้นตอนการรับ Rebate : สำหรับคนที่ยังไม่มีบัญชี XM ไม่เคยเทรดกับ XM สมาชิกใหม่ของ XM มีโอกาสรับเงินคืนจากการเทรดของคุณด้วยวิธีที่ง่ายดาย ผ่านการดำเนินการเพียงไม่กี่ขั้นตอน ดังนี้: ขั้นตอนที่ 1: เปิดบัญชีใหม่กับ XM ก่อนอื่น กรุณาทำการเคลียร์ cache และ cookie ในเบราว์เซอร์ของคุณ เพื่อให้แน่ใจว่าการลงทะเบียนของคุณจะได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง ปิดการใช้งานตัวบล็อกโฆษณา เช่น adblock หรือ ublock ก่อนคลิกปุ่มลิงก์เพื่อเปิดบัญชีใหม่กับ XM เปิดบัญชีรับรีเบต XM คลิ๊กที่นี่ ขั้นตอนที่ 2: เพิ่มบัญชีเทรดของคุณ หลังจากเปิดบัญชีเทรด MT4/MT5 แล้ว ให้เพิ่มเลขบัญชีเทรดของคุณไว้ในพื้นที่สมาชิกในกลุ่มของเราใน เพื่อให้เราสามารถติดตามและคำนวณเงินคืนของคุณได้ สำหรับการเข้ากลุ่ม เพื่อรับ Rebate คลิ๊กที่นี่ หรือที่รูปด้านล่า ขั้นตอนที่ 3: รอการอนุมัติ หลังจากที่คุณเพิ่มบัญชีเทรดและรอการอนุมัติภายใน 24 ชั่วโมง เมื่อสถานะบัญชีของคุณเป็น “อนุมัติ” คุณก็พร้อมที่จะเทรดและรับเงินคืนผ่านระบบของ XM [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
ใจความสำคัญของ Binary option คือ อะไร Binary option คือ ตัวเลือกการลงทุนในรูปแบบหนึ่งที่ให้นักลงทุนทำการเดาการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า และจะได้รับผลตอบแทนเป็นจำนวนเงินที่กำหนดไว้ล่วงหน้าหากการเดาถูกต้อง หรือสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดหากการเดาไม่ถูกต้อง Binary option มีรูปแบบที่สำคัญ 2 รูปแบบ ได้แก่ Call Option Call Option: นักลงทุนทำการเดาว่าราคาของสินทรัพย์จะขึ้นและสูงกว่าราคาที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด Put Option Put Option: นักลงทุนทำการเดาว่าราคาของสินทรัพย์จะลดลงและต่ำกว่าราคาที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด ดังนั้นแล้ว นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในหลายสินทรัพย์ เช่น สกุลเงิน, หุ้น, ทอง, น้ำมัน และอื่น ๆ ความเร็วในการได้รับผลตอบแทนและความเสี่ยงที่สูงเป็นสิ่งที่ทำให้การลงทุนแบบ binary option น่าสนใจสำหรับนักลงทุนบางกลุ่ม แต่ข้อสังเกตคือ ความเสี่ยงสูงจะตามมาด้วยโอกาสในการขาดทุนที่สูงเช่นกัน ดังนั้น ควรศึกษาและทำความเข้าใจให้ดีก่อนการตัดสินใจลงทุน เทคนิคเทรด Binary Option การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) สำหรับ Binary option เป็นกระบวนการที่ใช้ข้อมูลราคาและปริมาณการซื้อขายในอดีตเป็นหลักในการวิเคราะห์เพื่อทำนายแนวโน้มของราคาในอนาคต [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
แนวรับและแนวต้าน แนวรับ แนวต้าน เป็นคำศัพท์ที่มักเกิดขึ้นในวงการเทรดและการวิเคราะห์ทางเทคนิค การเข้าใจและทราบถึงแนวรับ แนวต้านเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักเทรดทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมืออาชีพ ความหมายของแนวรับ แนวต้าน หรือที่เรียกว่า Support/Resistance (SR), คือ ช่วงราคาที่ฟังก์ชันเป็นแนวป้องกันต้านกับการเคลื่อนที่ของราคา ไม่ว่าจะเป็นแนวที่ราคาจะยากที่จะข้ามไป (แนวต้าน) หรือแนวที่ราคาจะยากที่จะตกลงมา (แนวรับ) การสร้างแนวรับ แนวต้าน คือ เมื่อราคาของตราสารทางการเงินยังมาเรื่อย ๆ แต่แตะต้องระดับราคาเดิมหลายครั้งแล้วกลับเส้นทาง บริเวณนั้นก็สร้างเป็นแนวรับหรือแนวต้าน ทางลัดเปิดบัญชี iq option ภาพตัวอย่างการตีเส้นแนวต้าน ใน iQ Option ภาพตัวอย่างการตีเส้นแนวรับ ใน iQ Option ทางลัดเปิดบัญชี iq option แนวรับแนวต้าน iQ Option แนวทางแบบง่ายในการวิเคราะห์กราฟ เมื่อพูดถึงเส้นแนวรับและแนวต้านที่สำคัญ คือ การมองเห็นจุดที่ราคาเกิดปฏิกิริยาอย่างต่อเนื่องและไม่สามารถเคลื่อนที่ไปข้ามแนวนั้นได้ แนวต้าน (Resistance) ในกราฟจุดที่ราคาบรรลุแล้วเกิดปฏิกิริยาด้วยการลดลงหรือถอยหลัง เรียกว่า “แนวต้าน” มันเป็นความต้านทานต่อการขึ้นของราคา แนวรับ (Support) ในทางกลับกันจุดที่ราคาถึงแล้วมีการเกิดปฏิกิริยาด้วยการขึ้ [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Breakaway คืออะไร “Breakaway” เป็นรูปแบบของแท่งเทียน (candlestick) ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคของกราฟหุ้นหรือตลาดทั่วไป การเกิดขึ้นของ Breakaway pattern มักบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มตลาด (Trend Reversal) ในระยะยาว รูปแบบ Breakaway candlestick pattern Breakaway candlestick pattern ประกอบด้วย 5 แท่งเทียน โดยมีลักษณะดังนี้ แท่งแท่งเทียนที่ 1 แท่งแท่งเทียนแรก เป็นแท่งเทียนของแนวโน้มปัจจุบัน ถ้าเป็นแนวโน้มขาขึ้น แท่งเทียนนี้จะเป็นแท่งเทียนขาขึ้น แต่ถ้าเป็นแนวโน้มขาลง แท่งเทียนนี้จะเป็นแท่งเทียนขาลง แท่งแท่งเทียนที่ 2 แท่งแท่งเทียนที่ 2 จะเป็นแท่งเทียนที่มีช่วงราคาที่ไม่ซ้อนทับแท่งเทียนแรก นั่นหมายความว่า ถ้าแนวโน้มเป็นขาขึ้น แท่งเทียนที่สองจะเปิดที่ราคาที่สูงกว่าแท่งเทียนแรก และถ้าแนวโน้มเป็นขาลง แท่งเทียนที่สองจะเปิดที่ราคาที่ต่ำกว่าแท่งเทียนแรก แท่งแท่งเทียนที่ 3, แท่งแท่งเทียนที่ 4 และแท่งแท่งเทียนที่ 5 จะเป็นแท่งเทียนที่ยืนยันแนวโน้มใหม่ ซึ่งความยาวของแท่งเทียนไม่จำเป็นต้องเป็นแบบเดียวกัน แต่จะยืนยันการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม การที่ Breakaway pattern [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Sakainvest เชื่อถือได้หรือไม่ ในโลกออนไลน์ปัจจุบัน มีแหล่งข้อมูลมากมายเกี่ยวกับการลงทุน ทำให้นักลงทุนต้องใช้วิจารณญาณในการเลือกเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ Sakainvest เป็นหนึ่งในเว็บไซต์ที่น่าสนใจ นำเสนอข้อมูลเชิงลึกหลากหลายประเภท แต่ก่อนจะตัดสินใจว่าจะเชื่อถือได้หรือไม่ เรามาพิจารณาคุณภาพของเนื้อหาและปัจจัยต่างๆกันดีกว่า ความหลากหลายของเนื้อหา Sakainvest ครอบคลุมข้อมูลการลงทุนในหลายตลาด ทั้ง คริปโต ฟอเร็กซ์ ทองคำ และหุ้น เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาข้อมูลจากหลายแหล่ง ช่วยเพิ่มความรู้ในวงกว้างและเปรียบเทียบโอกาสในการลงทุนได้ รีวิวโบรกเกอร์แบบเจาะลึก มีรีวิวโบรกเกอร์อย่างละเอียด เจาะลึก และเที่ยงธรรม ไม่อวยโบรกเกอร์ ไม่มีสปอนเซอร์ ข้อมูลตรงไปตรงมา ช่วยนักลงทุนพิจารณาข้อดีข้อเสียของแต่ละโบรกเกอร์ก่อนตัดสินใจเลือก อ้างอิงจากประสบการณ์จริงและข้อมูลเชิงลึกของผู้เขียน ข้อมูลการใช้งานโบรกเกอร์ มีบทความสอนการใช้งานโบรกเกอร์ตั้งแต่เริ่มสมัครบัญชีจนถอนเงิน อธิบายวิธีฝากเงิน เทรด และจัดการบัญชีแบบขั้นตอนโดยละเอียด เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว ช่วยลดข้อผิดพลาดและเข้าใจระบบการเทรดดีขึ้น คุณภาพและความเข้าใจเกี่ยวกับโบนัส รวบรวมโปรโมชันโบนัสของโบรกเกอร์ต่างๆไว้มากมาย แต่เน้นย้ำให้ทำความเข้าใจเงื่อนไขก่อนตัดสินใจเลือกโบนัส อธิบายผลดีผลเสียของการรับโบนัสชัดเจน ปกป้องผู้อ่านจากปัญหาในภายหลังหากเลือกใช้โบนัสโดยไม่เข้าใจเงื่อนไข ความน่าเชื่อถือของผู้เขียน บทความทั้งหมดเขียนโดย Nine SAKA ผู้มีประสบการณ์เทรด Forex กว่า 10 ปี ผู้เขียนมีความรู้ลึกซึ้งในวงการลงทุนทั้งเทคนิคและข้อมูลเชิงลึก เนื้อหามีน้ำหนักและมีคุณภาพ เชื่อถือได้ ถ่ายทอดความรู้ด้วยวิธีที่อธิบายง่าย [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Sniper เทรด คือ เทคนิคการเทรดในตลาดเงินอย่างหนึ่ง เช่น ตลาดหุ้น ตลาด Crypto ตลาดเงิน สามารถใช้เทรดระยะสั้นหรือระยะยาวได้ วิธีการของ Sniper trading คือ การเทรดอย่างแม่นยำหวังผลจำนวนมาก พูดง่าย ๆ ก็คือกำไรจำนวนมากในการเทรด 1 ครั้ง นั่นเอง สไนเปอร์เทรดมีลักษณะอย่างไร การเทรดแบบสไนเปอร์หลายคนอาจจะสับสนกับการเทรดระยะสั้น แต่ว่าการเทรดแบบ sniper ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นระยะสั้น เป็นระยะใดก็ได้ขอเพียงมีความแม่นยำสูง แล้วลักษณะอะไรบ้างที่ทำให้รู้ว่ามี sniper trading การเทรดจะต้องมีความอดทน รอจังหวะมาก ๆ เมื่อไม่ใช่สัญญาณเทรดไม่แน่ใจจะไม่ลั่นไกเด็ดขาด การเทรดต้องมีทางหนีทีไล่ มี Stop loss การเทรดสไนเปอร์เทรด จะต้องมีแผนการเทรดชัดเจน เทรด Time Frame ใดก็ได้เมื่อมีโอกาส และยืดหยุ่น การเทรดแบบ sniper เทรดดิ้ง จะต้องมีคนชี้เป้า ลักษณะเทรดเดอร์ที่จะเทรด sniper ประสบความสำเร็จ สำหรับนักเทรดแบบ sniper trade [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
Candlestick Pattern คืออะไร Candlestick Pattern หรือรูปแบบของเทียนเทียน (Candlestick) คือ เทคนิคการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีที่มาจากญี่ปุ่น ถูกใช้ในการวิเคราะห์ราคาของหุ้น, สินค้าหรือสกุลเงินในตลาดทุนและตลาดเงินเพื่อทำนายการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต Candlestick มีส่วนประกอบสำคัญ 4 ส่วน คือ ราคาเปิด (Open), ราคาปิด (Close), ราคาสูงสุด (High) และราคาต่ำสุด (Low) ภายในช่วงเวลาที่กำหนด ถ้าราคาปิดสูงกว่าราคาเปิดจะได้เทียนสีเขียวหรือขาว แต่ถ้าราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด เราจะได้เทียนสีแดงหรือดำ มีหลากหลายรูปแบบ Candlestick ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำนายการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้ รวมถึง Bullish Engulfing, Bearish Engulfing, Hammer, Hanging Man, Doji และอื่น ๆ ทั้งหมดนี้จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจเกี่ยวกับทิศทางของตลาด และสามารถทำการลงทุนอย่างมีระบบและรอบคอบได้ ในส่วนของการใช้งาน Candlestick Pattern ควรถูกใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์เทคนิคอื่น ๆ เพื่อยืนยันแนวโน้มหรือสัญญาณที่ได้ การใช้มันเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ให้ความแม่นยำที่ต้องการ Candlestick Pattern มีกี่แบบ [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
บัญชี Zero Spread คืออะไร บัญชี Zero Spread คือ ประเภทบัญชีที่ราคา Bid และราคา Ask ไม่มีความแตกต่างกัน หมายถึงการไม่มีค่าสเปรด ค่าสเปรดคงที่เป็นศูนย์ หรือ ค่าสเปรดเข้าใกล้ค่าศูนย์มาก ๆ เทรดเดอร์สามารถทราบต้นทุนการเทรดแบบคงที่ล่วงหน้า สามารถวางแผนการเข้าและออกออเดอร์ รวมถึงผลกำไรที่จะได้รับอย่างแม่นยำกว่าประเภทบัญชีอื่น ๆ ที่มีค่าสเปรดแปรผันไปตามราคาตลาด ค่าสเปรดที่เป็นศูนย์สามารถทำให้เทรดเดอร์คำนวณกำไรและขาดทุนที่ไม่ได้มาจากการเทรดได้ เช่น Slippage อีกทั้งยังเหมาะสมกับกลยุทธ์การเทรดแบบ Scalping ที่มีความถี่ในการส่งคำสั่งสูง แล้วยังเหมาะสมกับ Day Trade บัญชี Zero Spread เหมาะสมกับเทรดเดอร์ที่ต้องการทดลองเทรดกับโบรกเกอร์นั้น ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเผชิญกับต้นทุนการเทรดที่สูง ข้อดีบัญชี Zero Spread ประเภทบัญชี Zero Spread มีข้อดี ดังต่อไปนี้ สเปรดคงที่เป็นศูนย์หรือเข้าใกล้ศูนย์มาก ๆ เป็นประเภทบัญชีที่มีค่าสเปรดต่ำที่สุดในบรรดาประเภทบัญชีทั้งหมด การเปลี่ยนทิศทางการเทรดทำได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าประเภทบัญชีที่มีค่าสเปรด เช่น หากเปิด Buy แล้วต้องการเปลี่ยนทิศทางเป็น Sell [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
ความเสี่ยงในการลงทุน คืออะไร ความเสี่ยงในการลงทุน คือ สภาวะที่อาจส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนการลงทุนที่คาดหวังไว้หรือทำให้เกิดความเสียหายต่อทุนลงทุนของนักลงทุน การลงทุนไม่ว่าจะเป็นในตราสารทุน, ตราสารหนี้, สินทรัพย์ทางด้านอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจหรือการลงทุนใดๆ ฯลฯ ล้วนมีความเสี่ยงแฝงอยู่เสมอ ความเสี่ยงในการลงทุนไม่ว่าจะเกิดจากส่วนใดก็ตาม จะสามารถทำให้ผลตอบแทนที่คาดหวังไม่สำเร็จหรือแม้กระทั่งทำให้เกิดความเสียหายต่อทุนลงทุนของนักลงทุน ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้แม้ในการลงทุนที่ดูเหมือนจะปลอดภัยอย่างตราสารหนี้ของรัฐบาล ดังนั้นการมีความรู้และเข้าใจเรื่องความเสี่ยงในการลงทุนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง นักลงทุนที่มีความรู้และเข้าใจเรื่องความเสี่ยงจะสามารถวางแผนการลงทุนได้มากขึ้น รวมถึงการวางแผนในการจัดการความเสี่ยงด้วย ทำให้สามารถลดผลกระทบจากความเสี่ยงและสามารถทำให้การลงทุนสามารถเป็นไปตามที่คาดหวังได้มากขึ้น ทั้งนี้การเลือกลงทุนไม่ได้มีแค่ความเสี่ยงเพียงอย่างเดียวที่ต้องคำนึงถึง นักลงทุนยังต้องพิจารณาถึงเป้าหมายการลงทุน ระยะเวลาในการลงทุน และสภาวะทางการเงินของตนเองด้วย ดังนั้นการวางแผนการลงทุนให้เหมาะสมเป็นสิ่งที่จำเป็น ทั้งนี้จุดสำคัญ คือ การต้องเข้าใจและรับรู้ถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนทั้งหมดเพื่อให้สามารถตัดสินใจที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง ความเสี่ยงในการลงทุน มีอะไรบ้าง ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk): เป็นความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงในราคาของตราสารทุน, ตราสารหนี้, หรือสินทรัพย์อื่นๆ ในตลาดซึ่งส่งผลกระทบต่อมูลค่าทั้งหมดของการลงทุน ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk): เป็นความเสี่ยงจากการที่ผู้กู้หรือผู้ออกหน่วยลงทุนไม่สามารถที่จะชำระหนี้หรือทำตามสัญญาการลงทุนที่ทำไว้ ความเสี่ยงด้านดอกเบี้ย (Interest Rate Risk): เป็นความเสี่ยงจากการที่อัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อมูลค่าของตราสารหนี้ที่ลงทุนอยู่ ความเสี่ยงด้านสกุลเงิน (Currency Risk): เป็นความเสี่ยงจากการที่อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินมีการเปลี่ยนแปลง ความเสี่ยงด้านทางกฎหมาย (Legal Risk): เป็นความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของกฎหมาย, ข้อบังคับ, หรือนโยบายรัฐบาลที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุน [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]
การหาจุดเข้าซื้อ forex คืออะไร การหาจุดเข้าซื้อใน Forex หรือเรียกว่า “entry point” คือ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดเพื่อหาจุดที่นักเทรดจะเริ่มซื้อสกุลเงิน นั่นคือ นักเทรดมองหาช่วงเวลาที่ราคาเป็นไปในทางที่มีประโยชน์ต่อการซื้อของตัวเอง การหาจุดเข้าซื้อใน Forex จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย และมักจะรวมถึงวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์ทางพื้นฐาน นี่คือสองวิธีที่นักเทรดมักใช้ วิเคราะห์ทางเทคนิค นักเทรดอาจจะมองหาแผนภูมิที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในราคา นั่นอาจรวมถึงการดูการเคลื่อนไหวของราคาในอดีตเพื่อทำนายการเคลื่อนไหวในอนาคต ตัวอย่างเช่น นักเทรดอาจจะมองหาแนวรับและแนวต้าน การเข้าเส้นเทรนด์และแพทเทิร์นแผนภูมิที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เช่น double tops หรือ double bottoms นอกจากนี้ ยังอาจจะใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น moving averages, Relative Strength Index (RSI), หรือ MACD ในการสนับสนุนการตัดสินใจ วิเคราะห์ทางพื้นฐาน นักเทรดอาจจะใช้ข้อมูลเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงในนโยบายธนาคารกลางหรือข่าวสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาสกุลเงิน ตัวอย่างเช่น ถ้าประเทศหนึ่งประกาศว่ามีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ย สกุลเงินของประเทศนั้นอาจจะเพิ่มขึ้น, ซึ่งสามารถสร้างโอกาสในการซื้อสำหรับนักเทรด ดังนั้นเพื่อหาจุดเข้าซื้อที่ดีที่สุด สิ่งที่จำเป็นต้องมีความรู้และความเข้าใจ ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์ทางพื้นฐานให้ละเอียดมากที่สุด คำนิยาม ของการหาจุดเข้าซื้อ forex [อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก]