rsi 7 vs rsi 14 คือ อะไร แบบไหนดีกว่ากัน

IUX Markets Bonus

Relative Strength Index (RSI) เป็นหนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการเทรดหุ้นและฟอเร็กซ์ การเลือกค่าพารามิเตอร์ที่เหมาะสมสำหรับ RSI มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพของการวิเคราะห์ ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกถึงความแตกต่างระหว่าง RSI 7 และ RSI 14 เพื่อช่วยให้คุณเลือกใช้ค่าที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณมากที่สุด

ความหมายของ RSI 7 และ RSI 14

ก่อนที่เราจะเปรียบเทียบ RSI 7 และ RSI 14 มาทำความเข้าใจความหมายของตัวเลขเหล่านี้กันก่อน

RSI ย่อมาจาก Relative Strength Index เป็นตัวบ่งชี้โมเมนตัม (momentum indicator) ที่วัดความเร็วและขนาดของการเปลี่ยนแปลงราคา โดยแสดงผลเป็นค่าระหว่าง 0-100

RSI 7 และ RSI 14
RSI 7 และ RSI 14

ตัวเลขที่ตามหลัง RSI (เช่น 7 หรือ 14) หมายถึงจำนวนคาบเวลา (periods) ที่ใช้ในการคำนวณ RSI นั่นหมายความว่า:

  • RSI 7 คำนวณโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 7 คาบเวลา
  • RSI 14 คำนวณโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 14 คาบเวลา

ความแตกต่างหลักระหว่าง RSI 7 และ RSI 14

RSI 7 เปรียบเทียบ RSI 14
RSI 7 เปรียบเทียบ RSI 14
  1. ความไว (Sensitivity)
    • RSI 7: มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงราคามากกว่า ทำให้เกิดสัญญาณบ่อยครั้งกว่า
    • RSI 14: มีความไวน้อยกว่า ทำให้เกิดสัญญาณน้อยครั้งกว่าแต่มีความน่าเชื่อถือมากกว่า
  2. ความถี่ของสัญญาณ (Signal Frequency)
    • RSI 7: ให้สัญญาณบ่อยครั้งกว่า เหมาะสำหรับการเทรดระยะสั้น
    • RSI 14: ให้สัญญาณน้อยครั้งกว่า เหมาะสำหรับการเทรดระยะกลางถึงยาว
  3. ความน่าเชื่อถือของสัญญาณ (Signal Reliability)
    • RSI 7: อาจเกิดสัญญาณหลอกได้บ่อยกว่า เนื่องจากความไวที่สูง
    • RSI 14: มีแนวโน้มที่จะให้สัญญาณที่น่าเชื่อถือมากกว่า เนื่องจากใช้ข้อมูลในช่วงเวลาที่ยาวกว่า
  4. การเข้าและออกจากโซน Overbought/Oversold
    • RSI 7: เข้าและออกจากโซน Overbought (>70) และ Oversold (<30) ได้เร็วกว่า
    • RSI 14: ใช้เวลานานกว่าในการเข้าและออกจากโซน Overbought และ Oversold
  5. ความเหมาะสมกับสภาวะตลาด
    • RSI 7: เหมาะกับตลาดที่มีความผันผวนสูงและการเทรดระยะสั้น
    • RSI 14: เหมาะกับตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจนและการเทรดระยะยาว

การเปรียบเทียบประสิทธิภาพ

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น เรามาดูตัวอย่างการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของ RSI 7 และ RSI 14 ในสถานการณ์ต่างๆ

ประสิทธิภาพของ RSI 7 และ RSI 14
ประสิทธิภาพของ RSI 7 และ RSI 14

1. ในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน (Trending Market)

ในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน RSI 14 มักจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า เนื่องจาก:

  • ให้สัญญาณที่น่าเชื่อถือมากกว่า ลดโอกาสการเกิดสัญญาณหลอก
  • สามารถระบุจุดกลับตัวของแนวโน้มได้แม่นยำกว่า
  • ลดโอกาสการเข้าเทรดเร็วเกินไปในระหว่างที่แนวโน้มยังดำเนินต่อไป
 YWO Promotion

ตัวอย่าง: ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง RSI 14 อาจอยู่เหนือระดับ 50 เป็นเวลานาน ในขณะที่ RSI 7 อาจแกว่งตัวขึ้นลงรอบๆ ระดับ 50 บ่อยครั้ง ทำให้เกิดสัญญาณหลอกได้

2. ในตลาดแกว่งตัว (Ranging Market)

ในตลาดที่แกว่งตัวหรือไซด์เวย์ RSI 7 อาจมีประโยชน์มากกว่า เนื่องจาก:

  • สามารถระบุจุดกลับตัวในระยะสั้นได้เร็วกว่า
  • ให้โอกาสในการเทรดบ่อยครั้งกว่า เหมาะสำหรับนักเทรดที่ต้องการทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคา
  • เข้าและออกจากโซน Overbought และ Oversold ได้เร็วกว่า ทำให้สามารถระบุจุดกลับตัวได้เร็ว

ตัวอย่าง: ในตลาดที่แกว่งตัวในกรอบแคบ RSI 7 อาจให้สัญญาณซื้อและขายหลายครั้ง ในขณะที่ RSI 14 อาจยังไม่เข้าสู่โซน Overbought หรือ Oversold เลย

3. ในตลาดที่มีความผันผวนสูง (Volatile Market)

ในตลาดที่มีความผันผวนสูง การเลือกใช้ RSI 7 หรือ RSI 14 ขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดของแต่ละคน:

  • RSI 7 เหมาะสำหรับนักเทรดที่ต้องการเข้าและออกจากตลาดอย่างรวดเร็ว เพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวระยะสั้น
  • RSI 14 เหมาะสำหรับนักเทรดที่ต้องการกรองสัญญาณหลอกออกและรอโอกาสที่ชัดเจนกว่า

ตัวอย่าง: ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงเนื่องจากข่าวสำคัญ RSI 7 อาจให้สัญญาณซื้อและขายสลับกันอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ RSI 14 อาจยังคงอยู่ในทิศทางเดิมและรอให้ความผันผวนลดลงก่อนให้สัญญาณ

การเลือกใช้ RSI 7 หรือ RSI 14 ให้เหมาะกับสไตล์การเทรด

การเลือกใช้ RSI 7 หรือ RSI 14 ควรพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้:

RSI 7 และ RSI 14 กับสไตล์การเทรด
RSI 7 และ RSI 14 กับสไตล์การเทรด
  1. กรอบเวลาที่เทรด (Time Frame)
    • RSI 7 เหมาะกับการเทรดในกรอบเวลาสั้น เช่น 5 นาที, 15 นาที, หรือ 1 ชั่วโมง
    • RSI 14 เหมาะกับการเทรดในกรอบเวลายาวกว่า เช่น 4 ชั่วโมง, รายวัน, หรือรายสัปดาห์
  2. สไตล์การเทรด
    • Scalping: RSI 7 อาจเหมาะสมกว่า เนื่องจากให้สัญญาณบ่อยครั้ง
    • Day Trading: ทั้ง RSI 7 และ RSI 14 สามารถใช้ได้ ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์เฉพาะ
    • Swing Trading: RSI 14 มักจะเหมาะสมกว่า เนื่องจากให้สัญญาณที่น่าเชื่อถือในระยะยาว
    • Position Trading: RSI 14 หรือค่าที่สูงกว่า (เช่น RSI 21) อาจเหมาะสมกว่า
  3. ความเสี่ยงที่ยอมรับได้
    • หากคุณยอมรับความเสี่ยงได้สูงและต้องการโอกาสในการเทรดบ่อยครั้ง RSI 7 อาจเหมาะสมกว่า
    • หากคุณต้องการความมั่นใจสูงและยอมรับโอกาสในการเทรดที่น้อยลง RSI 14 อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
  4. ประสบการณ์การเทรด
    • นักเทรดมือใหม่อาจเริ่มต้นด้วย RSI 14 เนื่องจากให้สัญญาณที่น่าเชื่อถือมากกว่า
    • นักเทรดที่มีประสบการณ์อาจปรับใช้ RSI 7 เพื่อหาโอกาสในการเทรดที่มากขึ้น
  5. สินทรัพย์ที่เทรด
    • สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงและความผันผวนต่ำ (เช่น คู่เงินหลัก) อาจเหมาะกับ RSI 7
    • สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำกว่าหรือความผันผวนสูง อาจเหมาะกับ RSI 14 เพื่อกรองสัญญาณหลอก

เทคนิคการใช้ RSI 7 และ RSI 14 ร่วมกัน

นักเทรดหลายคนเลือกที่จะใช้ทั้ง RSI 7 และ RSI 14 ร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ ต่อไปนี้คือเทคนิคบางอย่างที่คุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้:

  1. การยืนยันสัญญาณ
    • ใช้ RSI 7 เพื่อระบุโอกาสในการเทรดเบื้องต้น
    • ใช้ RSI 14 เพื่อยืนยันสัญญาณและลดความเสี่ยงจากสัญญาณหลอก
    • เข้าเทรดเมื่อทั้ง RSI 7 และ RSI 14 ให้สัญญาณในทิศทางเดียวกัน
  2. การวิเคราะห์หลายกรอบเวลา (Multiple Time Frame Analysis)
    • ใช้ RSI 14 บนกรอบเวลาที่ใหญ่กว่าเพื่อระบุแนวโน้มหลัก
    • ใช้ RSI 7 บนกรอบเวลาที่เล็กกว่าเพื่อหาจุดเข้าเทรดที่แม่นยำ
  3. การระบุ Divergence
    • ใช้ RSI 14 เพื่อระบุ Divergence ในระยะยาว
    • ใช้ RSI 7 เพื่อยืนยัน Divergence และหาจุดเข้าเทรดที่เหมาะสม
  4. การปรับระดับ Overbought และ Oversold
    • ใช้ระดับ Overbought/Oversold ที่แตกต่างกันสำหรับ RSI 7 และ RSI 14
    • ตัวอย่าง: RSI 7 อาจใช้ระดับ 80/20, ในขณะที่ RSI 14 ใช้ระดับมาตรฐาน 70/30
  5. การวิเคราะห์ความเร็วของการเปลี่ยนแปลง
    • ใช้ RSI 7 เพื่อวัดความเร็วของการเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น
    • ใช้ RSI 14 เพื่อวัดความเร็วของการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว
    • เปรียบเทียบความเร็วของทั้งสองเพื่อประเมินความแข็งแกร่งของแนวโน้ม

กรณีศึกษา: การใช้ RSI 7 และ RSI 14 ในสถานการณ์จริง

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น เรามาดูตัวอย่างการใช้ RSI 7 และ RSI 14 ในสถานการณ์การเทรดจริง

กรณีศึกษาที่ 1: การเทรดแนวโน้มในตลาดหุ้น

สมมติว่าเราต้องการเทรดหุ้น XYZ ในกรอบเวลารายวัน:

  1. การวิเคราะห์แนวโน้มหลัก:
    • ใช้ RSI 14 บนกราฟรายสัปดาห์เพื่อระบุแนวโน้มหลัก
    • พบว่า RSI 14 อยู่เหนือระดับ 50 และกำลังเพิ่มขึ้น บ่งชี้แนวโน้มขาขึ้น
  2. การหาจุดเข้าเทรด:
    • ใช้ RSI 7 บนกราฟรายวันเพื่อหาจุดเข้าซื้อ
    • รอให้ RSI 7 ลงมาต่ำกว่า 30 (Oversold) และเริ่มกลับตัวขึ้น
  3. การยืนยันสัญญาณ:
    • ตรวจสอบ RSI 14 บนกราฟรายวัน พบว่ายังคงอยู่เหนือระดับ 40
    • ยืนยันว่าแนวโน้มขาขึ้นยังคงแข็งแกร่ง
  4. การเข้าเทรด:
    • เปิดสถานะซื้อเมื่อ RSI 7 กลับขึ้นเหนือระดับ 30
    • ตั้ง Stop Loss ใต้จุดต่ำสุดล่าสุด
  5. การจัดการการเทรด:
    • ใช้ RSI 14 เพื่อติดตามแนวโน้มระยะยาว
    • พิจารณาปิดสถานะบางส่วนเมื่อ RSI 7 เข้าสู่โซน Overbought (>70)
    • ปิดสถานะทั้งหมดเมื่อ RSI 14 ลดลงต่ำกว่าระดับ 50

กรณีศึกษาที่ 2: การ Scalp ในตลาด Forex

สมมติว่าเราต้องการ Scalp คู่เงิน EUR/USD ในกรอบเวลา 5 นาที:

  1. การวิเคราะห์แนวโน้มระยะสั้น:
    • ใช้ RSI 14 บนกราฟ 15 นาทีเพื่อระบุแนวโน้มระยะสั้น
    • พบว่า RSI 14 อยู่ระหว่าง 40-60 บ่งชี้ว่าตลาดกำลังแกว่งตัว
  2. การหาโอกาสในการ Scalp:
    • ใช้ RSI 7 บนกราฟ 5 นาทีเพื่อหาจุดเข้าเทรด
    • มองหาการเข้าสู่โซน Overbought (>80) หรือ Oversold (<20)
  3. การเข้าเทรด:
    • เปิดสถานะขายเมื่อ RSI 7 ลงมาต่ำกว่า 80 หลังจากเข้าสู่โซน Overbought
    • เปิดสถานะซื้อเมื่อ RSI 7 ขึ้นมาสูงกว่า 20 หลังจากเข้าสู่โซน Oversold
  4. การจัดการความเสี่ยง:
    • ตั้ง Stop Loss ที่ 10-15 pips จากจุดเข้า
    • ตั้ง Take Profit ที่ 20-30 pips จากจุดเข้า
  5. การออกจากการเทรด:
    • ปิดสถานะเมื่อ RSI 7 กลับเข้าสู่โซนกลาง (30-70)
    • หรือเมื่อ RSI 14 บนกราฟ 15 นาทีเริ่มแสดงสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม

ข้อควรระวังในการใช้ RSI 7 และ RSI 14

แม้ว่า RSI จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัดและข้อควรระวังที่นักเทรดควรตระหนัก:

RSI Overbought และ Oversold MT4
RSI Overbought และ Oversold MT4
  1. สัญญาณหลอก:
    • RSI 7 มีแนวโน้มที่จะให้สัญญาณหลอกบ่อยกว่า RSI 14
    • ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ เพื่อยืนยันสัญญาณ
  2. การติดอยู่ในโซน Overbought/Oversold:
    • ในแนวโน้มที่แข็งแกร่ง RSI อาจติดอยู่ในโซน Overbought หรือ Oversold เป็นเวลานาน
    • ไม่ควรใช้เพียง RSI เพื่อตัดสินใจเข้าเทรดต้านแนวโน้ม
  3. ความล่าช้าของสัญญาณ:
    • RSI 14 อาจให้สัญญาณช้ากว่าการเปลี่ยนแปลงของราคาจริง
    • RSI 7 อาจให้สัญญาณเร็วเกินไป ทำให้เข้าเทรดก่อนที่ราคาจะกลับตัวจริง
  4. การปรับตัวกับสภาวะตลาด:
    • ประสิทธิภาพของ RSI อาจเปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด
    • ควรทดสอบและปรับค่า RSI ให้เหมาะสมกับสินทรัพย์และสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง
  5. การพึ่งพา RSI มากเกินไป:
    • ไม่ควรใช้ RSI เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจเทรด
    • ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและเครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ

สรุป

RSI 7 และ RSI 14 มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน การเลือกใช้ค่าใดขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น สไตล์การเทรด กรอบเวลาที่เทรด และสภาวะตลาด โดยสรุป:

  • RSI 7 เหมาะสำหรับการเทรดระยะสั้น การ Scalp หรือการเทรดในตลาดที่มีความผันผวนสูง แต่มีความเสี่ยงที่จะเกิดสัญญาณหลอกได้บ่อย
  • RSI 14 เหมาะสำหรับการเทรดระยะกลางถึงยาว การวิเคราะห์แนวโน้ม หรือการเทรดในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน ให้สัญญาณที่น่าเชื่อถือมากกว่าแต่อาจช้ากว่า

การใช้ทั้ง RSI 7 และ RSI 14 ร่วมกันสามารถให้มุมมองที่ครอบคลุมมากขึ้น โดยใช้ RSI 14 เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มหลักและใช้ RSI 7 เพื่อหาจุดเข้าเทรดที่แม่นยำ

ท้ายที่สุด การพัฒนากลยุทธ์การเทรดที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ RSI 7 หรือ RSI 14 เพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับการผสมผสานความรู้ ประสบการณ์ และการจัดการความเสี่ยงที่ดี นักเทรดควรทดสอบและปรับแต่งการใช้ RSI ให้เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

 Exness Promotion
PNFPB Install PWA using share icon

For IOS and IPAD browsers, Install PWA using add to home screen in ios safari browser or add to dock option in macos safari browser