การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)

IUX Markets Bonus

การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)

การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นวิธีการศึกษาและคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในตลาดการเงิน โดยอาศัยข้อมูลทางสถิติในอดีต เช่น ราคา ปริมาณการซื้อขาย และความผันผวน วิธีการนี้มีพื้นฐานมาจากแนวคิดที่ว่าประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยตัวเอง และรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาในอดีตสามารถใช้คาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้ นักวิเคราะห์ทางเทคนิคจะใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น กราฟ ดัชนี และตัวบ่งชี้ทางเทคนิค เพื่อระบุโอกาสในการซื้อขายและจุดเข้า-ออกตลาดที่เหมาะสม

แนวคิดพื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิค

แนวคิดพื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิค
แนวคิดพื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิค
  1. ราคาสะท้อนทุกอย่าง (Price Discounts Everything) หลักการสำคัญประการแรกของการวิเคราะห์ทางเทคนิคคือความเชื่อที่ว่าราคาปัจจุบันได้สะท้อนข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัยทางจิตวิทยา หรือปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อราคา นักวิเคราะห์ทางเทคนิคจึงเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยพื้นฐานแยกต่างหาก เพราะผลกระทบจากปัจจัยเหล่านั้นได้สะท้อนอยู่ในราคาแล้ว
  2. ราคาเคลื่อนไหวเป็นแนวโน้ม (Price Moves in Trends) แนวคิดนี้เชื่อว่าราคามักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า “แนวโน้ม” (Trend) แนวโน้มอาจเป็นขาขึ้น (Uptrend) ขาลง (Downtrend) หรือแนวราบ (Sideways trend) นักวิเคราะห์ทางเทคนิคพยายามระบุแนวโน้มในระยะเริ่มต้นและเทรดตามแนวโน้มนั้นจนกว่าจะมีสัญญาณว่าแนวโน้มกำลังจะเปลี่ยน
  3. ประวัติศาสตร์มักซ้ำรอย (History Tends to Repeat Itself) นักวิเคราะห์ทางเทคนิคเชื่อว่ารูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดขึ้นในอดีตมีแนวโน้มที่จะเกิดซ้ำในอนาคต เนื่องจากพฤติกรรมของนักลงทุนมักจะคล้ายคลึงกันในสถานการณ์ที่คล้ายกัน ดังนั้นการศึกษารูปแบบกราฟและตัวบ่งชี้ทางเทคนิคจึงสามารถช่วยคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้

รูปแบบกราฟและแนวโน้ม

1. ประเภทของกราฟ

กราฟเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่สำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยมีประเภทหลักๆ ดังนี้:

  • กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart): เป็นกราฟที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แสดงราคาเปิด ปิด สูงสุด และต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่งๆ โดยใช้รูปแบบแท่งเทียนที่มีสีแตกต่างกันเพื่อแสดงทิศทางของราคา
  • กราฟแท่ง (Bar Chart): คล้ายกับกราฟแท่งเทียน แต่แสดงข้อมูลในรูปแบบที่เรียบง่ายกว่า
  • กราฟเส้น (Line Chart): แสดงเฉพาะราคาปิดในแต่ละช่วงเวลา เหมาะสำหรับการดูภาพรวมของแนวโน้มราคา

2. แนวโน้ม (Trends)

แนวโน้มเป็นทิศทางโดยรวมของการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่ง แบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก:

  • แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend): ราคามีการสร้างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
  • แนวโน้มขาลง (Downtrend): ราคามีการสร้างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่ต่ำลงเรื่อยๆ
  • แนวโน้มแนวราบ (Sideways trend): ราคาเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ไม่มีทิศทางชัดเจน

นักวิเคราะห์ทางเทคนิคใช้เส้นแนวโน้ม (Trendlines) เพื่อแสดงทิศทางของแนวโน้ม โดยลากเส้นเชื่อมระหว่างจุดต่ำสุดสำหรับแนวโน้มขาขึ้น หรือจุดสูงสุดสำหรับแนวโน้มขาลง

3. แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance)

แนวรับ (Support) คือระดับราคาที่มีแรงซื้อเข้ามาหนุนไม่ให้ราคาลดต่ำลงไปกว่านี้ ส่วนแนวต้าน (Resistance) คือระดับราคาที่มีแรงขายเข้ามากดดันไม่ให้ราคาสูงขึ้นไปกว่านี้ การระบุแนวรับและแนวต้านช่วยให้นักลงทุนสามารถกำหนดจุดเข้าซื้อ ขาย และตั้ง Stop Loss ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. รูปแบบกราฟ (Chart Patterns)

รูปแบบกราฟเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นซ้ำๆ บนกราฟราคา ซึ่งนักวิเคราะห์ทางเทคนิคใช้ในการคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต รูปแบบกราฟที่สำคัญ ได้แก่:

  • รูปแบบกลับตัว (Reversal Patterns): เช่น Head and Shoulders, Double Top/Bottom, Triple Top/Bottom เป็นรูปแบบที่บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนทิศทางของแนวโน้ม
  • รูปแบบต่อเนื่อง (Continuation Patterns): เช่น Flags, Pennants, Triangles เป็นรูปแบบที่บ่งชี้ว่าแนวโน้มปัจจุบันอาจดำเนินต่อไป

5. แท่งเทียนญี่ปุ่น (Japanese Candlesticks)

 YWO Promotion

แท่งเทียนญี่ปุ่นไม่เพียงแต่แสดงราคาเปิด ปิด สูงสุด และต่ำสุด แต่ยังมีรูปแบบเฉพาะที่สามารถใช้คาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นได้ เช่น Doji, Hammer, Shooting Star, Engulfing Pattern เป็นต้น

รูปแบบกราฟแท่งเทียน
รูปแบบกราฟแท่งเทียน

6. ระดับ Fibonacci (Fibonacci Levels)

ระดับ Fibonacci เป็นเครื่องมือที่ใช้อัตราส่วนทางคณิตศาสตร์ในการระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่สำคัญ โดยเฉพาะในช่วงที่ราคามีการปรับตัว (Retracement) ระดับ Fibonacci ที่นิยมใช้ ได้แก่ 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8% และ 78.6%

7. ตัวบ่งชี้ทางเทคนิค (Technical Indicators)

ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคเป็นการคำนวณทางคณิตศาสตร์บนข้อมูลราคาและปริมาณการซื้อขาย เพื่อช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มและระบุจุดเข้า-ออกตลาด ตัวบ่งชี้ที่นิยมใช้ ได้แก่:

  • ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages): ใช้เพื่อระบุแนวโน้มและแนวรับ-แนวต้านที่เคลื่อนที่
  • ตัวบ่งชี้โมเมนตัม (Momentum Indicators): เช่น RSI, Stochastic Oscillator ใช้วัดความเร็วของการเปลี่ยนแปลงราคา
  • ตัวบ่งชี้แนวโน้ม (Trend Indicators): เช่น MACD, ADX ใช้ยืนยันแนวโน้มและระบุการเปลี่ยนทิศทาง
  • ตัวบ่งชี้ปริมาณการซื้อขาย (Volume Indicators): เช่น On-Balance Volume (OBV) ใช้ยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้ม

การใช้งานการวิเคราะห์ทางเทคนิค

การวิเคราะห์ทางเทคนิคไม่ใช่วิทยาศาสตร์ที่แม่นยำ 100% แต่เป็นศิลปะที่ต้องอาศัยประสบการณ์และการตีความ นักวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีประสิทธิภาพมักจะใช้หลายเครื่องมือร่วมกันเพื่อยืนยันสัญญาณและลดความเสี่ยงจากการตีความผิดพลาด นอกจากนี้ การใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์สภาพตลาด (Market Sentiment) สามารถช่วยให้การตัดสินใจลงทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การวิเคราะห์ทางเทคนิคสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับหลายตลาด เช่น ตลาดหุ้น ตลาด Forex ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ และตลาดคริปโทเคอร์เรนซี อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรตระหนักว่าแต่ละตลาดมีลักษณะเฉพาะและอาจต้องปรับเปลี่ยนวิธีการวิเคราะห์ให้เหมาะสม

อินดิเคเตอร์ยอดนิยมที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค Forex

ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับตลาด Forex นักเทรดนิยมใช้อินดิเคเตอร์หลายประเภทเพื่อช่วยในการตัดสินใจ ต่อไปนี้คืออินดิเคเตอร์ยอดนิยมที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย:

  1. Moving Average (MA)
    • เป็นอินดิเคเตอร์พื้นฐานที่คำนวณค่าเฉลี่ยของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด
    • ใช้ในการระบุแนวโน้มและแนวรับ-แนวต้าน
    • ประเภทยอดนิยม ได้แก่ Simple Moving Average (SMA) และ Exponential Moving Average (EMA)
  2. Moving Average Convergence Divergence (MACD)
    • เป็นอินดิเคเตอร์แนวโน้มที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง MA สองเส้น
    • ใช้ในการระบุการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มและโมเมนตัมของตลาด
    • ประกอบด้วยเส้น MACD, เส้นสัญญาณ และฮิสโตแกรม
  3. Relative Strength Index (RSI)
    • เป็นอินดิเคเตอร์โมเมนตัมที่วัดความเร็วและการเปลี่ยนแปลงของราคา
    • ใช้ในการระบุสภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold)
    • มีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 100 โดยทั่วไปใช้ระดับ 30 และ 70 เป็นจุดอ้างอิง
  4. Bollinger Bands
    • เป็นอินดิเคเตอร์ความผันผวนที่ประกอบด้วยแถบ 3 เส้น
    • ใช้ในการวัดความผันผวนของตลาดและระบุจุดเข้า-ออกที่เป็นไปได้
    • แถบกลางคือ SMA ส่วนแถบบนและล่างคือค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
  5. Stochastic Oscillator
    • เป็นอินดิเคเตอร์โมเมนตัมที่เปรียบเทียบราคาปิดล่าสุดกับช่วงราคาในระยะเวลาที่กำหนด
    • ใช้ในการระบุจุดกลับตัวที่เป็นไปได้และสภาวะซื้อ/ขายมากเกินไป
    • ประกอบด้วยเส้น %K และ %D
  6. Fibonacci Retracement
    • เป็นเครื่องมือที่ใช้อัตราส่วน Fibonacci ในการระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่สำคัญ
    • ใช้ในการคาดการณ์ระดับราคาที่อาจเกิดการกลับตัวหลังจากการเคลื่อนไหวของราคาที่สำคัญ
    • ระดับ Fibonacci ที่นิยมใช้ ได้แก่ 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8% และ 78.6%
  7. Average Directional Index (ADX)
    • เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้วัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม โดยไม่คำนึงถึงทิศทาง
    • ใช้ในการยืนยันแนวโน้มและระบุช่วงเวลาที่ตลาดไม่มีทิศทางชัดเจน (Ranging)
    • มีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 100 โดยค่าที่สูงกว่า 25 มักถูกมองว่าเป็นแนวโน้มที่แข็งแกร่ง
  8. Ichimoku Cloud
    • เป็นอินดิเคเตอร์แบบญี่ปุ่นที่ให้ข้อมูลหลายอย่างในเครื่องมือเดียว
    • ใช้ในการระบุแนวโน้ม แนวรับ-แนวต้าน และจุดเข้า-ออกที่เป็นไปได้
    • ประกอบด้วยเส้นหลายเส้นและพื้นที่ “เมฆ” ที่แสดงความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน
  9. Parabolic SAR (Stop and Reverse)
    • เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้ในการระบุจุดกลับตัวของแนวโน้มและกำหนดจุด Stop Loss
    • แสดงเป็นจุดบนหรือใต้แท่งราคา ขึ้นอยู่กับทิศทางของแนวโน้มปัจจุบัน
    • นิยมใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นๆ เพื่อยืนยันสัญญาณ
  10. On-Balance Volume (OBV)
    • เป็นอินดิเคเตอร์ปริมาณการซื้อขายที่วัดแรงซื้อและแรงขายสะสม
    • ใช้ในการยืนยันแนวโน้มและคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของราคา
    • อาศัยแนวคิดที่ว่าปริมาณการซื้อขายนำหน้าการเคลื่อนไหวของราคา

การใช้อินดิเคเตอร์เหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยความเข้าใจในการทำงานของแต่ละตัว และการใช้งานร่วมกันเพื่อยืนยันสัญญาณซึ่งกันและกัน นักเทรด Forex มืออาชีพมักจะไม่พึ่งพาอินดิเคเตอร์ใดเพียงตัวเดียว แต่จะใช้หลายตัวร่วมกันเพื่อให้ได้มุมมองที่ครอบคลุมและลดความเสี่ยงจากสัญญาณหลอก นอกจากนี้ การปรับแต่งค่าพารามิเตอร์ของอินดิเคเตอร์ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดและสไตล์การเทรดของแต่ละคนก็เป็นสิ่งสำคัญในการใช้งานอินดิเคเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อจำกัดของการวิเคราะห์ทางเทคนิค

แม้ว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรตระหนัก:

  1. การตีความที่แตกต่าง: นักวิเคราะห์ต่างคนอาจตีความรูปแบบกราฟและสัญญาณทางเทคนิคแตกต่างกัน
  2. ความล่าช้าของสัญญาณ: ตัวบ่งชี้บางตัวอาจให้สัญญาณล่าช้า ทำให้พลาดโอกาสในการเข้าตลาดที่ดีที่สุด
  3. ไม่คำนึงถึงปัจจัยภายนอก: การวิเคราะห์ทางเทคนิคไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยภายนอก เช่น ข่าวเศรษฐกิจหรือเหตุการณ์ทางการเมือง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาอย่างมีนัยสำคัญ
  4. การพึ่งพาข้อมูลในอดีต: การวิเคราะห์ทางเทคนิคอาศัยข้อมูลในอดีต ซึ่งอาจไม่สามารถทำนายเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้อย่างแม่นยำ
  5. ความเสี่ยงจากการใช้งานผิดวิธี: การใช้เครื่องมือทางเทคนิคโดยไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้อาจนำไปสู่การตัดสินใจลงทุนที่ผิดพลาด

สรุป

การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ในการวิเคราะห์ตลาดและตัดสินใจลงทุน โดยอาศัยการศึกษารูปแบบราคาและปริมาณการซื้อขายในอดีต อย่างไรก็ตาม การใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ประสบการณ์ และการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ

นักลงทุนควรใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคร่วมกับวิธีการวิเคราะห์อื่นๆ เช่น การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์สภาพตลาด เพื่อให้ได้มุมมองที่รอบด้านและลดความเสี่ยงในการลงทุน นอกจากนี้ การบริหารความเสี่ยงที่ดีและการมีวินัยในการเทรดยังเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนระยะยาว

อ้างอิง

  1. Murphy, J. J. (1999). Technical Analysis of the Financial Markets: A Comprehensive Guide to Trading Methods and Applications. New York Institute of Finance.
  2. Kirkpatrick, C. D., & Dahlquist, J. R. (2015). Technical Analysis: The Complete Resource for Financial Market Technicians. FT Press.
  3. Elder, A. (2002). Trading for a Living: Psychology, Trading Tactics, Money Management. John Wiley & Sons.
  4. Pring, M. J. (2002). Technical Analysis Explained: The Successful Investor’s Guide to Spotting Investment Trends and Turning Points. McGraw-Hill Education.
  5. Bulkowski, T. N. (2005). Encyclopedia of Chart Patterns. John Wiley & Sons.
  6. Kahn, M. N. (2018). Technical Analysis Plain and Simple: Charting the Markets in Your Language. FT Press.
  7. Morris, G. L. (2006). Candlestick Charting Explained: Timeless Techniques for Trading Stocks and Futures. McGraw-Hill Education.
 Exness Promotion
PNFPB Install PWA using share icon

For IOS and IPAD browsers, Install PWA using add to home screen in ios safari browser or add to dock option in macos safari browser