ความสำคัญของการจัดการความเสี่ยง ในการเทรด Forex

IUX Markets Bonus

ความสำคัญของการจัดการความเสี่ยง

การจัดการความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญของการเทรดที่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในตลาด Forex ที่มีความผันผวนสูง นักเทรดที่สามารถจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพจะมีโอกาสอยู่รอดและประสบความสำเร็จในระยะยาวมากกว่า บทความนี้จะอธิบายถึงความสำคัญของการจัดการความเสี่ยง โดยเน้นที่หลักการ “อยู่รอดก่อน รวยทีหลัง” และวิธีการรักษาเงินทุนให้อยู่รอดในระยะยาว

หลักการ “อยู่รอดก่อน รวยทีหลัง”

หลักการ “อยู่รอดก่อน รวยทีหลัง” (Survive First, Get Rich Later) เป็นแนวคิดสำคัญที่นักเทรดควรยึดถือ โดยมีรายละเอียดดังนี้:

ความสำคัญของการจัดการความเสี่ยง
ความสำคัญของการจัดการความเสี่ยง

1. เน้นการรักษาเงินทุนเป็นอันดับแรก

การเทรดไม่ใช่เรื่องของการทำกำไรสูงสุดในระยะสั้น แต่เป็นเรื่องของการรักษาเงินทุนให้อยู่รอดในระยะยาว นักเทรดควรให้ความสำคัญกับการป้องกันการขาดทุนมากกว่าการแสวงหากำไร เพราะหากเงินทุนหมดไป โอกาสในการทำกำไรก็จะหมดไปด้วย

ตัวอย่าง: สมมติว่านักเทรดมีเงินทุน $10,000 และตั้งเป้าหมายที่จะทำกำไร 50% ในปีแรก แทนที่จะพยายามทำกำไรให้ได้ $5,000 ในทันที นักเทรดควรเน้นการรักษาเงินทุน $10,000 ไว้ให้ได้ก่อน โดยอาจตั้งเป้าหมายการขาดทุนสูงสุดไว้ที่ 10% หรือ $1,000 เท่านั้น

2. ตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผล

การตั้งเป้าหมายผลตอบแทนที่สูงเกินไปอาจนำไปสู่การเทรดที่มีความเสี่ยงสูงเกินควร นักเทรดควรตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผลและสอดคล้องกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เช่น การตั้งเป้าหมายผลตอบแทน 2-3% ต่อเดือนอาจเหมาะสมกว่าการพยายามทำกำไร 50% ต่อเดือน

ตัวอย่าง: หากนักเทรดมีเงินทุน $10,000 และตั้งเป้าหมายผลตอบแทน 3% ต่อเดือน เท่ากับว่าต้องทำกำไร $300 ต่อเดือน ซึ่งเป็นเป้าหมายที่มีโอกาสทำได้จริงมากกว่าการพยายามทำกำไร $5,000 ต่อเดือน

3. จำกัดความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้ง

 YWO Promotion

การจำกัดความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้งเป็นสิ่งสำคัญ นักเทรดควรกำหนดว่าจะยอมขาดทุนสูงสุดเท่าไหร่ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง โดยทั่วไปแล้วไม่ควรเกิน 1-2% ของเงินทุนทั้งหมด การทำเช่นนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้การขาดทุนครั้งใดครั้งหนึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อพอร์ตโดยรวม

ตัวอย่าง: หากนักเทรดมีเงินทุน $10,000 และจำกัดความเสี่ยงที่ 1% ต่อการเทรด เท่ากับว่าจะยอมขาดทุนสูงสุด $100 ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง หากเกิดการขาดทุนติดต่อกัน 10 ครั้ง ก็จะสูญเสียเงินทุนเพียง 10% หรือ $1,000 เท่านั้น

4. ใช้ Stop Loss อย่างเคร่งครัด

Stop Loss เป็นเครื่องมือสำคัญในการจำกัดความเสี่ยง นักเทรดควรใช้ Stop Loss ในทุกการเทรดและไม่ปรับเปลี่ยนหรือยกเลิก Stop Loss เพียงเพราะราคาเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง การยึดมั่นในการใช้ Stop Loss จะช่วยป้องกันการขาดทุนที่รุนแรงได้

ตัวอย่าง: หากนักเทรดเปิดสถานะซื้อ EUR/USD ที่ราคา 1.2000 และตั้ง Stop Loss ที่ 1.1950 (50 pips) ไม่ว่าราคาจะเคลื่อนไหวอย่างไร นักเทรดควรยึดมั่นกับ Stop Loss ที่ตั้งไว้ แม้ว่าราคาจะลงมาใกล้ Stop Loss แล้วกลับตัวขึ้นก็ตาม

5. อดทนต่อการขาดทุนเล็กน้อย

การขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของการเทรด นักเทรดต้องยอมรับและอดทนต่อการขาดทุนเล็กน้อย แทนที่จะพยายามหลีกเลี่ยงการขาดทุนทุกครั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและเสี่ยงมากขึ้น

ตัวอย่าง: หากนักเทรดมีระบบเทรดที่มี Win Rate 60% และ Risk/Reward Ratio 1:2 นักเทรดต้องยอมรับว่าจะมีการขาดทุนเกิดขึ้น 40% ของการเทรดทั้งหมด แต่เมื่อรวมกันแล้ว ระบบนี้จะสามารถทำกำไรได้ในระยะยาว

การรักษาเงินทุนให้อยู่รอดในระยะยาว

การรักษาเงินทุนให้อยู่รอดในระยะยาวเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการเทรด นักเทรดควรใช้กลยุทธ์ต่อไปนี้เพื่อรักษาเงินทุน:

การรักษาเงินทุนให้อยู่รอดในระยะยาว
การรักษาเงินทุนให้อยู่รอดในระยะยาว

1. กระจายความเสี่ยง

การกระจายความเสี่ยงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ต นักเทรดควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงในหลายมิติ เช่น:

  • กระจายการเทรดในหลายคู่สกุลเงิน: แทนที่จะเทรดเพียง EUR/USD คู่เดียว อาจพิจารณาเทรด GBP/USD, USD/JPY, และ AUD/USD ด้วย
  • ใช้กลยุทธ์การเทรดที่หลากหลาย: เช่น ผสมผสานระหว่างการเทรดตามแนวโน้ม (Trend Following) และการเทรดแบบ Range Trading
  • เทรดในหลายกรอบเวลา (Timeframes): เช่น ใช้กราฟ Daily เพื่อดูแนวโน้มหลัก และใช้กราฟ 4 ชั่วโมงเพื่อหาจุดเข้าเทรด
  • พิจารณาการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นนอกเหนือจาก Forex: เช่น หุ้น, ทองคำ, หรือ Cryptocurrency

2. ใช้การจัดการเงินทุนอย่างเหมาะสม

การจัดการเงินทุนที่ดีจะช่วยให้นักเทรดสามารถทนต่อช่วงเวลาที่ขาดทุนได้ โดยมีแนวทางดังนี้:

  • แบ่งเงินทุนเป็นส่วนๆ สำหรับการเทรดในแต่ละช่วงเวลา: เช่น แบ่งเงินทุน $10,000 เป็น 10 ส่วน ส่วนละ $1,000 และใช้เทรดทีละส่วน
  • ไม่ใช้เงินทุนทั้งหมดในการเทรดพร้อมกัน: ควรเก็บเงินสดไว้บางส่วนเพื่อรองรับโอกาสในอนาคต
  • เพิ่มขนาดการเทรดอย่างค่อยเป็นค่อยไปเมื่อพอร์ตมีกำไร: เช่น เพิ่มขนาดการเทรด 10% ทุกครั้งที่พอร์ตเพิ่มขึ้น 20%
  • ลดขนาดการเทรดลงเมื่อพอร์ตขาดทุน: เช่น ลดขนาดการเทรด 20% ทุกครั้งที่พอร์ตลดลง 10%

3. ควบคุมการใช้ Leverage

Leverage เป็นดาบสองคมที่สามารถเพิ่มทั้งกำไรและขาดทุน นักเทรดควรใช้ Leverage อย่างระมัดระวัง โดย:

  • เริ่มต้นด้วย Leverage ต่ำ เช่น 1:10 หรือ 1:20
  • เพิ่ม Leverage ทีละน้อยเมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น
  • ไม่ใช้ Leverage สูงสุดที่โบรกเกอร์อนุญาต
  • คำนวณความเสี่ยงโดยคำนึงถึงผลกระทบของ Leverage

ตัวอย่าง: หากนักเทรดมีเงินทุน $10,000 และใช้ Leverage 1:100 เท่ากับว่าสามารถควบคุมเงินได้ถึง $1,000,000 การเคลื่อนไหวของราคาเพียง 1% ก็สามารถทำให้กำไรหรือขาดทุนถึง $10,000 ซึ่งเท่ากับเงินทุนทั้งหมด

4. มีแผนฉุกเฉิน

นักเทรดควรมีแผนฉุกเฉินสำหรับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น:

  • กำหนดจุด Drawdown สูงสุดที่ยอมรับได้ และหยุดเทรดเมื่อถึงจุดนั้น: เช่น กำหนดว่าจะหยุดเทรดชั่วคราวหากพอร์ตลดลง 20% จากจุดสูงสุด
  • มีเงินสำรองนอกพอร์ตเทรดสำหรับค่าใช้จ่ายส่วนตัว: ควรแยกเงินสำหรับค่าใช้จ่ายประจำวันออกจากเงินทุนเทรด เพื่อไม่ให้กระทบต่อการดำรงชีวิตหากเกิดการขาดทุน
  • วางแผนการฟื้นฟูพอร์ตหากเกิดการขาดทุนรุนแรง: เช่น การลดขนาดการเทรดลง 50% และเพิ่มขึ้นทีละ 10% เมื่อพอร์ตเริ่มฟื้นตัว

ตัวอย่าง: นักเทรดมีพอร์ต $50,000 และกำหนดจุด Drawdown สูงสุดที่ 30% หรือ $15,000 หากพอร์ตลดลงเหลือ $35,000 นักเทรดจะหยุดเทรดชั่วคราว ทบทวนกลยุทธ์ และอาจเริ่มเทรดใหม่ด้วยขนาดการเทรดที่เล็กลง

5. พัฒนาทักษะและความรู้อย่างต่อเนื่อง

การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้นักเทรดสามารถปรับตัวกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง โดย:

  • ศึกษาและทดลองใช้เครื่องมือวิเคราะห์ใหม่ๆ: เช่น การเรียนรู้เกี่ยวกับ Fibonacci Retracements, Elliott Wave Theory, หรือ Ichimoku Kinko Hyo
  • เรียนรู้จากความผิดพลาดและประสบการณ์: ทำบันทึกการเทรดและวิเคราะห์ทั้งการเทรดที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว เพื่อหาจุดที่ต้องปรับปรุง
  • ติดตามข่าวสารและการเปลี่ยนแปลงของตลาด: อ่านบทวิเคราะห์จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และติดตามเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจที่อาจส่งผลต่อตลาด
  • แลกเปลี่ยนความรู้กับนักเทรดคนอื่นๆ: เข้าร่วมฟอรั่ม สัมมนา หรือกลุ่มเทรดเดอร์ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเรียนรู้มุมมองใหม่ๆ

ตัวอย่าง: นักเทรดอาจกำหนดเป้าหมายให้ตัวเองว่าจะเรียนรู้เครื่องมือวิเคราะห์ใหม่ 1 อย่างทุกเดือน และทดลองใช้ในบัญชีเดโมเป็นเวลา 1 เดือนก่อนนำมาใช้จริง

6. รักษาสุขภาพจิตและการควบคุมอารมณ์

สุขภาพจิตและการควบคุมอารมณ์มีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจเทรด นักเทรดควร:

  • พักผ่อนให้เพียงพอและดูแลสุขภาพร่างกาย: กำหนดเวลาพักระหว่างการเทรด และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • ฝึกการควบคุมอารมณ์และจิตใจ: เช่น การทำสมาธิ, การฝึกหายใจ, หรือการเขียนบันทึกความรู้สึก
  • ไม่เทรดเมื่อมีอารมณ์รุนแรง: เช่น โกรธ เครียด หรือกังวล ควรพักและกลับมาเทรดเมื่อจิตใจสงบ
  • มีกิจกรรมอื่นนอกเหนือจากการเทรดเพื่อผ่อนคลาย: เช่น งานอดิเรก การท่องเที่ยว หรือการพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง

ตัวอย่าง: นักเทรดอาจกำหนดกฎให้ตัวเองว่าจะไม่เทรดหากนอนไม่พอ (น้อยกว่า 6 ชั่วโมง) หรือหลังจากมีเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียดในชีวิต เช่น การทะเลาะกับคนใกล้ชิด

7. ใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด

เทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถช่วยในการจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักเทรดควรพิจารณา:

  • ใช้ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีประสิทธิภาพ: เช่น MetaTrader, TradingView, หรือ NinjaTrader
  • ใช้ระบบแจ้งเตือน (Alerts) เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของตลาด: ตั้งการแจ้งเตือนเมื่อราคาถึงจุดสำคัญ หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม
  • พิจารณาใช้ระบบเทรดอัตโนมัติ (Algorithmic Trading): เพื่อลดอคติและอารมณ์ในการตัดสินใจ
  • ใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยง เช่น Position Sizing Calculator หรือ Risk Management Software

ตัวอย่าง: นักเทรดอาจใช้ซอฟต์แวร์ที่สามารถคำนวณ Position Size อัตโนมัติตามเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงที่กำหนด และตั้งค่า Stop Loss และ Take Profit ให้โดยอัตโนมัติ

8. ทดสอบและปรับปรุงกลยุทธ์อย่างสม่ำเสมอ

กลยุทธ์การเทรดและการจัดการความเสี่ยงควรได้รับการทดสอบและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ:

  • ใช้ Backtesting เพื่อทดสอบกลยุทธ์กับข้อมูลในอดีต: วิเคราะห์ผลการทดสอบเพื่อหาจุดแข็งและจุดอ่อนของกลยุทธ์
  • ทำ Forward Testing ด้วยบัญชีเดโม: ทดสอบกลยุทธ์ในสภาวะตลาดปัจจุบันก่อนนำไปใช้จริง
  • วิเคราะห์ผลการเทรดอย่างสม่ำเสมอ: ตรวจสอบ Metrics ต่างๆ เช่น Win Rate, Risk/Reward Ratio, และ Maximum Drawdown
  • ปรับปรุงกลยุทธ์ตามผลการวิเคราะห์: เช่น ปรับ Stop Loss หรือ Take Profit หากพบว่าไม่เหมาะสม

ตัวอย่าง: นักเทรดอาจทำการ Backtest กลยุทธ์ย้อนหลัง 5 ปี แล้วพบว่า Win Rate อยู่ที่ 55% แต่ Risk/Reward Ratio เพียง 1:1 จึงปรับปรุงกลยุทธ์โดยเพิ่ม Take Profit ให้ไกลขึ้นเป็น 1:1.5 แล้วทำการ Forward Test ในบัญชีเดโมเป็นเวลา 3 เดือนก่อนนำไปใช้จริง

สรุป

การจัดการความเสี่ยงเป็นทักษะสำคัญที่นักเทรดทุกคนต้องพัฒนา การยึดหลัก “อยู่รอดก่อน รวยทีหลัง” และการใช้กลยุทธ์ต่างๆ เพื่อรักษาเงินทุนในระยะยาวจะช่วยให้นักเทรดมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น แม้ว่าการจัดการความเสี่ยงอาจทำให้โอกาสในการทำกำไรระยะสั้นลดลง แต่ในระยะยาวแล้วจะช่วยให้นักเทรดสามารถอยู่รอดและสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนได้

การจัดการความเสี่ยงที่ดีไม่ได้หมายถึงการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทั้งหมด แต่หมายถึงการเข้าใจ ควบคุม และจัดการความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด นักเทรดที่สามารถทำเช่นนี้ได้จะมีโอกาสประสบความสำเร็จในการเทรด Forex มากกว่าในระยะยาว

สุดท้ายนี้ ขอให้นักเทรดทุกท่านตระหนักว่า การจัดการความเสี่ยงเป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องปรับปรุงและพัฒนาอยู่เสมอ ไม่มีกลยุทธ์ใดที่สมบูรณ์แบบตลอดกาล แต่การมีวินัยในการจัดการความเสี่ยงและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการเทรดในระยะยาว

อ้างอิง

  1. Babypips.com. (n.d.). What Is Risk Management?. Retrieved from https://www.babypips.com/learn/forex/what-is-risk-management
  2. Axi. (n.d.). Forex risk management trading strategies. Retrieved from https://www.axi.com/int/blog/education/forex/forex-risk-management-trading-strategies
  3. Elder, A. (1993). Trading for a Living: Psychology, Trading Tactics, Money Management. John Wiley & Sons.
  4. Tharp, V. K. (2006). Trade Your Way to Financial Freedom. McGraw-Hill Education.
  5. Douglas, M. (2000). Trading in the Zone: Master the Market with Confidence, Discipline, and a Winning Attitude. Prentice Hall Press.
  6. Murphy, J. J. (1999). Technical Analysis of the Financial Markets: A Comprehensive Guide to Trading Methods and Applications. New York Institute of Finance.
  7. Pring, M. J. (2002). Technical Analysis Explained: The Successful Investor’s Guide to Spotting Investment Trends and Turning Points. McGraw-Hill Education.
  8. Schwager, J. D. (2012). Market Wizards: Interviews with Top Traders. John Wiley & Sons.
 Exness Promotion
PNFPB Install PWA using share icon

For IOS and IPAD browsers, Install PWA using add to home screen in ios safari browser or add to dock option in macos safari browser