วิธีอ่านกราฟมีกี่รูปแบบ มีอะไรบ้าง กราฟแท่งเทียน กราฟเส้น และ Barchart

การอ่านกราฟราคา คืออะไร

การอ่านกราฟราคาเป็นกระบวนการที่นักลงทุนหรือนักเทรดใช้เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มราคาของสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น, สกุลเงิน, สินค้าหลัก, และอื่นๆ กราฟราคามักจะแสดงราคาการซื้อขายในช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อช่วยในการตัดสินใจการซื้อขาย

การอ่านกราฟราคา คืออะไร

การอ่านกราฟราคาประกอบด้วย

  • ความเข้าใจพื้นฐาน คือ การรู้จักรูปแบบและข้อมูลที่แสดงบนกราฟ เช่น แกน x และ y, การแสดงราคาเปิด-ปิด, ราคาสูงสุด-ต่ำสุด
  • แนวโน้ม (Trends) คือ ความเข้าใจในแนวโน้มหลักๆ เช่น Uptrend (แนวโน้มขาขึ้น), Downtrend (แนวโน้มขาลง)และ Sideways (แนวโน้มแนวตรงหรือข้างๆ)
  • ระดับ Support และ Resistance คือ วิเคราะห์ระดับราคาที่เป็นจุดที่ราคามักจะสูงสุด (Resistance) หรือต่ำสุด (Support) ในช่วงเวลาหนึ่ง
  • รูปแบบของกราฟ คือ รู้จักและเข้าใจรูปแบบหรือแพทเทิร์นต่างๆ เช่น Double Top, Double Bottom, Head and Shoulders ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากกราฟแท่งเทียน
  • ตัวชี้วัดทางเทคนิค (Technical Indicators) คือ เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์ราคา มีเครื่องมือต่างๆ เช่น Moving Averages, RSI, MACD
  • ปริมาณการซื้อขาย (Volume) คือการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายเพื่อดูแนวโน้มและความแข็งแกร่งของการเคลื่อนที่ราคา

การอ่านกราฟราคานั้นต้องการความสังเกตุการณ์ และความรู้จักเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค การศึกษาและการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องจะทำให้ความสามารถในการอ่านกราฟราคาเพิ่มขึ้น

 

วิธีอ่านกราฟมีกี่รูปแบบ

การอ่านกราฟมีหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบมีลักษณะและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน รูปแบบกราฟที่นิยมมากที่สุดมีอยู่ 3 แบบ คือ

  • กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart)
  • กราฟเส้น (Line Chart)
  • กราฟแท่ง (Barchart)

 

รูปแบบกราฟมีอะไรบ้าง

รายการของรูปแบบกราฟที่นิยม 10 อันดับ

  1. กราฟแท่งเส้น (Line Chart): แสดงข้อมูลในลักษณะเส้นที่เชื่อมต่อระหว่างจุดข้อมูล มักใช้ในการแสดงข้อมูลเชิงเวลา เช่น ราคาปิดของหุ้นในแต่ละวัน
  2. กราฟแท่ง (Bar Chart): แสดงข้อมูลด้วยแท่ง ซึ่งแท่งแต่ละแท่งจะแทนข้อมูลในตัวแปรหนึ่ง ๆ
  3. กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart): มักใช้วิเคราะห์ราคาหุ้นหรือตลาด Forex แท่งเทียนแสดงราคาเปิด, ปิด, สูงสุด และต่ำสุดของช่วงเวลาที่เลือก
  4. กราฟวงกลม (Pie Chart): แสดงสัดส่วนข้อมูล มักใช้แสดงการกระจายของข้อมูลในกลุ่มต่าง ๆ
  5. กราฟเส้นซ้อน (Stacked Line Chart): แสดงเส้นหลาย ๆ เส้นซ้อนกันเพื่อแสดงการเปลี่ยนแปลงเชิงสัมพันธ์
  6. กราฟแท่งซ้อน (Stacked Bar Chart): แสดงแท่งข้อมูลที่มีหลายส่วนซ้อนกัน เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อย
  7. กราฟกระจาย (Scatter Plot): แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสองตัว โดยแต่ละจุดบนกราฟแสดงค่าของทั้งสองตัวแปร
  8. กราฟเขต (Area Chart): เหมือนกับกราฟเส้น แต่มีพื้นที่ระหว่างเส้นกับแกน x ถูกเติมสี
  9. กราฟเรเดียล (Radar Chart): ใช้วิเคราะห์หลาย ๆ ตัวแปรพร้อมกัน โดยแต่ละเส้นบนกราฟแสดงค่าของตัวแปร
  10. กราฟฮิสโตแกรม (Histogram): แสดงการกระจายของข้อมูล โดยแนวแกน x แสดงช่วงข้อมูล และแนวแกน y แสดงจำนวนข้อมูลในแต่ละช่วง

กราฟที่เลือกใช้ขึ้นอยู่กับลักษณะข้อมูลและวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์ การเลือกรูปแบบกราฟที่เหมาะสมจะช่วยให้การวิเคราะห์และการตีความเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีอ่านกราฟแท่งเทียน

กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในตลาดหุ้นและตลาด Forex มาตั้งแต่ญี่ปุ่นในสมัยโบราณ การอ่านและตีความกราฟแท่งเทียนจำเป็นต้องมีความเข้าใจในแต่ละส่วนของแท่งเทียน และวิธีที่แท่งเทียนเหล่านั้นต่อกัน

วิธีอ่านกราฟแท่งเทียน

1.ส่วนของแท่งเทียน

  • แท่งเทียนขาขึ้น (Bullish Candle): แท่งเทียนสีเขียวหรือขาว (ขึ้นอยู่กับการตั้งค่า) โดยต้นแท่งเทียนจะเป็นราคาเปิด และปลายแท่งเทียนจะเป็นราคาปิด
  • แท่งเทียนขาลง (Bearish Candle): แท่งเทียนสีแดงหรือดำ (ขึ้นอยู่กับการตั้งค่า) โดยต้นแท่งเทียนจะเป็นราคาปิด และปลายแท่งเทียนจะเป็นราคาเปิด
  • ฝาแฝด (Wick/Shadows): เส้นบางๆ ที่เรียกว่า “ฝาแฝด” แสดงราคาสูงสุดและราคาต่ำสุดของช่วงเวลานั้น

2.รูปแบบแท่งเทียน

  • Doji: ราคาเปิดและปิดเท่ากัน หรือใกล้เคียงกัน แท่งเทียนมีขนาดเล็ก แสดงถึงการลังเลของตลาด
  • Hammer และ Hanging Man: มีแท่งเทียนเล็ก แต่มีฝาแฝดยาวด้านล่าง ซึ่งแสดงถึงการยืนยันแนวรับ
  • Shooting Star และ Inverted Hammer: มีแท่งเทียนเล็กแต่มีฝาแฝดยาวด้านบน ซึ่งแสดงถึงการยืนยันแนวต้าน

3.รูปแบบการเชื่อมต่อแท่งเทียน

  • มีรูปแบบเช่น Bullish Engulfing, Bearish Engulfing, Morning Star, Evening Star เป็นต้น ซึ่งช่วยแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของตลาด

เมื่อสามารถอ่านและตีความกราฟแท่งเทียนได้ จะสามารถวิเคราะห์แนวโน้มของตลาด รูปแบบการเคลื่อนไหวราคา และเซ็นเซอร์ราคาสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการวิเคราะห์แท่งเทียนสามารถให้ข้อมูลละเอียดเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อขายของนักลงทุนและความรู้สึกของตลาดในช่วงเวลานั้น

ในการวิเคราะห์กราฟแท่งเทียนไม่ได้พิจารณาเฉพาะแต่ละแท่งเทียนเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงการเคลื่อนไหวของแท่งเทียนในชุดหรือรูปแบบที่สร้างขึ้นด้วยการต่อกันของหลายๆ แท่งเทียน วิเคราะห์ในมุมมองนี้เรียกว่า “รูปแบบของกราฟแท่งเทียน” ซึ่งมีบางรูปแบบที่มีความหมายและน่าสนใจ

  • Three White Soldiers / Three Black Crows: มีแท่งเทียนขาขึ้น 3 แท่งหรือแท่งเทียนขาลง 3 แท่ง ติดต่อกัน แสดงถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
  • Tweezers Top และ Tweezers Bottom: เป็นรูปแบบที่ประกอบด้วยคู่แท่งเทียน ซึ่งราคาสูงสุดหรือต่ำสุดของแท่งเทียนสอดคล้องกัน สะท้อนถึงการปฏิเสธของตลาดในระดับราคานั้น
  • Double Top และ Double Bottom: แสดงถึงการทดสอบแนวต้านหรือแนวรับสองครั้งแล้วล้มเหลว

นอกจากนี้ ยังมีสิ่งที่เรียกว่า “การยืนยัน” ในการวิเคราะห์กราฟแท่งเทียน นั่นคือ การรอดูแท่งเทียนถัดไปหลังจากรูปแบบที่สนใจ เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจ

ตัวอย่างเช่น

หลังจากเห็น Bullish Engulfing อาจจะรอดูแท่งเทียนถัดไปว่าเป็นแท่งเทียนขาขึ้นหรือไม่ เพื่อยืนยันว่าตลาดกำลังมีแนวโน้มขึ้นจริงๆ การใช้กราฟแท่งเทียนเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการวิเคราะห์ การทำการลงทุนหรือเทรดควรพิจารณาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ และนำมาใช้ร่วมกันเพื่อเพิ่มโอกาสในการสำเร็จ

การอ่านกราฟเส้นทั่วไป

การอ่านกราฟเส้น (Line Chart) ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นวิธีที่ง่ายและชัดเจน เนื่องจากรูปแบบนี้จะแสดงเฉพาะราคาปิด (Closing Price) ของหุ้น, สินค้าหรือค่าเงินต่างประเทศในแต่ละช่วงเวลา

วิธีอ่านกราฟเส้น ความต่อเนื่องของเส้น

กราฟเส้นจะเชื่อมต่อราคาปิดของแต่ละวัน (หรือช่วงเวลาอื่นๆ ตามที่กำหนด) เข้าด้วยกัน เมื่อดูเส้นกราฟจะสามารถเห็นแนวโน้มของราคาได้อย่างชัดเจน

วิธีอ่านกราฟเส้น

กราฟเส้นเป็นรูปแบบหนึ่งของกราฟที่ทำให้เข้าใจเกี่ยวกับแนวโน้มของราคาในช่วงเวลาที่สนใจได้ง่ายขึ้น โดยทั่วไป กราฟเส้นจะถูกสร้างขึ้นโดยการเชื่อมต่อราคาปิด (Closing Price) ของแต่ละวัน หรือช่วงเวลาอื่นๆ ที่เลือก เช่น ชั่วโมง, สัปดาห์, เดือน เป็นต้น

เมื่อมองเส้นกราฟเหล่านี้ สิ่งที่จะเห็นได้เป็นอย่างดีคือความเคลื่อนที่และแนวโน้มของราคา

  • การเคลื่อนที่: จากการดูเส้นกราฟ สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าราคาเคลื่อนที่ขึ้น-ลงยังไงในช่วงเวลาที่กำหนด
  • แนวโน้ม: การเชื่อมต่อราคาปิดเข้าด้วยกันทำให้เห็นแนวโน้มของราคา ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend), แนวโน้มขาลง (Downtrend), หรือแนวโน้มแนวตรง (Sideways) ได้อย่างชัดเจน
  • ความรวดเร็วในการเคลื่อนที่: ในบางครั้ง หากเส้นกราฟเคลื่อนที่ขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็ว ส่งสัญญาณว่าราคา มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงเวลานั้น สามารถใช้ข้อมูลนี้เป็นส่วนหนึ่งในการวิเคราะห์

ด้วยเหตุนี้ กราฟเส้นถือเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ใช้สำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิค ช่วยให้เทรดเดอร์และนักลงทุนมองเห็นภาพรวมของการเคลื่อนที่ของราคาได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว

วิธีอ่านกราฟเส้น แนวโน้ม (Trend)

มองหาว่าเส้นกราฟมีการเคลื่อนที่เป็นทิศทางไหน ขึ้น (Uptrend), ลง (Downtrend), หรือแนวตรง (Sideways) แนวโน้ม (Trend) ของกราฟ คือ ลักษณะหลักที่นักวิเคราะห์ทางเทคนิคใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการตัดสินใจการลงทุนหรือการเทรด แนวโน้มเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเคลื่อนที่ของราคาในระยะยาว และสามารถช่วยให้มองเห็นภาพรวมของการเคลื่อนที่ของราคาได้อย่างชัดเจน

แต่ละแนวโน้มว่ามีลักษณะอย่างไร

  • แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend): คือ เมื่อสังเกตุเส้นกราฟแล้วเห็นว่ามีการเคลื่อนที่ขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง นั่นคือราคาปิดของแต่ละวันหรือช่วงเวลาส่วนใหญ่จะสูงขึ้นมากกว่าราคาปิดก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นสัญญาณแสดงถึงความสนใจและความมั่นใจของฝ่ายซื้อที่เพิ่มขึ้น
  • แนวโน้มขาลง (Downtrend): คือเมื่อเส้นกราฟมีการเคลื่อนที่ลงมาอย่างต่อเนื่อง นั่นคือราคาปิดของแต่ละวันหรือช่วงเวลาส่วนใหญ่จะต่ำลงเมื่อเทียบกับราคาปิดก่อนหน้า ส่งประโยชน์ว่ามีฝ่ายขายที่มีแรงกดดันราคาให้ต่ำลง
  • แนวโน้มแนวตรง (Sideways): เมื่อมองเห็นเส้นกราฟแล้วรู้สึกว่ามันเคลื่อนที่ภายในช่วงราคาที่ค่อนข้างแน่นอนและไม่มีการเคลื่อนที่เป็นทิศทางขึ้นหรือลงอย่างชัดเจน แนวโน้มแบบนี้แสดงถึงการต่อสู้ระหว่างฝ่ายซื้อและฝ่ายขายที่เท่าเทียมกัน

การเข้าใจแนวโน้มเป็นสิ่งที่สำคัญในการวิเคราะห์กราฟเส้น ซึ่งสามารถช่วยนักลงทุนหรือเทรดเดอร์ในการตัดสินใจและวางแผนการเทรดของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

วิธีอ่านกราฟเส้น ระดับ Support และ Resistance

ศึกษาจุดที่ราคายากที่จะผ่านไปเกิน (Resistance) และจุดที่ราคายากที่จะตกต่ำกว่า (Support) กราฟเส้นทำให้เห็นจุดเหล่านี้ได้ง่าย

ระดับ Support และ Resistance คือระดับราคาที่สำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิคของกราฟเส้น ระดับเหล่านี้เป็นเหมือนกับบาริเอร์หรือกำแพงที่ยากที่จะผ่านไป เมื่อราคาเข้าใกล้ระดับเหล่านี้ นักลงทุนหลายคนมักจะมีการตอบสนองตาม ซึ่งทำให้เกิดการซื้อขายในปริมาณที่เพิ่มขึ้นและมีผลต่อการเคลื่อนที่ของราคา ดังนั้นการทราบถึงระดับเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญเพื่อการวางแผนการลงทุน และการตัดสินใจในการเทรด

ระดับ Support (ระดับรับ)

เป็นระดับราคาที่หากราคาตลาดลงมาถึงจุดนี้ มักจะมีผู้ซื้อเข้ามาซื้อในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถทำให้ราคาสามารถ rebounce หรือแกว่งกลับขึ้นมาได้ การรู้จักและเข้าใจระดับ support สามารถช่วยในการตัดสินใจเมื่อจะเริ่มต้นการซื้อหุ้นหรือสินทรัพย์

 

ระดับ Resistance (ระดับต้าน)

เป็นระดับราคาที่เมื่อราคาตลาดเข้าใกล้หรือถึงจุดนี้ มักจะมีผู้ขายเข้ามาขายในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ราคามีแนวโน้มลดลงหรือหยุดนิ่งไม่ขยับไปในทิศทางขึ้นอีกต่อไป การเข้าใจระดับ resistance มักจะใช้สำหรับตัดสินใจการขายหุ้นหรือสินทรัพย์

กราฟเส้น ทำให้นักลงทุนเห็นภาพรวมของการเคลื่อนที่ของราคาในระยะยาว และจะช่วยให้เราสามารถหาและวาดระดับ support และ resistance ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งการวิเคราะห์ทางเทคนิคบนกราฟเส้นยังช่วยให้นักลงทุนมีสมาธิมากขึ้น ไม่โฟกัสเฉพาะที่แต่ละแท่งเทียนแต่ดูภาพรวมของการเคลื่อนที่ราคา

 

วิธีอ่านกราฟเส้น การแตกเส้นกราฟ

เมื่อเส้นกราฟแตกผ่านระดับ support หรือ resistance หมายความว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม การอ่านกราฟเส้นเกี่ยวกับการแตกเส้นกราฟเป็นหนึ่งในกลยุทธ์พื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักเทรดและนักลงทุน ดังนั้น ให้มาเรียนรู้วิธีการอ่านและตีความมันกัน

การแตกเส้นกราฟ

เมื่อเราพูดถึง “การแตก” หมายความว่าราคาได้เคลื่อนที่ผ่านระดับที่ถือว่าเป็นระดับสำคัญ เช่น support หรือ resistance ซึ่งสามารถเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มราคา การแตกที่เกิดขึ้นนี้จะสร้างความน่าเชื่อถือขึ้นถ้ามีปริมาณการซื้อขายที่สูงเป็นพิเศษในวันนั้น

การแตกผ่านระดับ Support

เมื่อกราฟเส้นลดลงและผ่านระดับ support ส่งแสดงถึงความแรงของการขาย แนวโน้มลดลง (Downtrend) อาจจะเริ่มขึ้น และระดับ support ที่เคยเป็นจุดรับต่อราคานั้นอาจจะกลายเป็น resistance ในอนาคต

การแตกผ่านระดับ Resistance

ถ้ากราฟเส้นเพิ่มขึ้นและผ่านระดับ resistance ส่งสัญญาณว่านักลงทุนแสดงความคาดหวังในการขายสูง แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) อาจจะยังคงต่อเนื่อง และ resistance ที่เคยเป็นจุดยากที่จะผ่านไปสูงกว่านั้น อาจจะกลายเป็น support ในอนาคต

ในการวิเคราะห์เพื่อหาจุดเข้าหรือจุดออกจากการเทรด นักเทรดควรจะระมัดระวังในการตีความการแตกเส้นกราฟ ควรรอให้ราคายืนยันโดยไม่กลับเข้าไปในระดับ support หรือ resistance ที่ผ่านมา หรือเรียกว่าการยืนยันแนวโน้มใหม่ และใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ ร่วมด้วยเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจ

 

วิธีอ่านกราฟเส้น การเปรียบเทียบกับตัวแปรอื่นๆ

กราฟเส้นสามารถเปรียบเทียบกับตัวแปรอื่นๆ เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เพื่อตรวจสอบสัญญาณเข้าซื้อ-ขาย การเปรียบเทียบกราฟเส้นกับตัวแปรอื่นๆ เป็นวิธีที่นักเทรดและนักลงทุนนิยมใช้เพื่อความเข้าใจในการเคลื่อนที่ของราคาและตรวจสอบสัญญาณต่างๆ ที่สามารถใช้ในการตัดสินใจการเทรด

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)

คือค่าเฉลี่ยของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด แบ่งเป็น 2 ประเภทหลักคือ Simple Moving Average (SMA) และ Exponential Moving Average (EMA)

  • SMA: คำนวณจากราคาเฉลี่ยในช่วงเวลาที่กำหนด
  • EMA: คำนวณราคาเฉลี่ยโดยให้น้ำหนักแก่ราคาล่าสุดมากกว่า

เมื่อเส้นกราฟเส้นและเส้นเฉลี่ยเคลื่อนที่ตัดกัน

  • กราฟเส้นตัดเส้นเฉลี่ยเคลื่อนที่จากด้านล่างขึ้นมาด้านบน: สัญญาณซื้อ (Buy Signal)
  • กราฟเส้นตัดเส้นเฉลี่ยเคลื่อนที่จากด้านบนลงมาด้านล่าง: สัญญาณขาย (Sell Signal)

การเปรียบเทียบกับตัวแปรอื่น

นอกจากค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ นักเทรดยังสามารถเปรียบเทียบกราฟเส้นกับตัวแปรอื่นๆ เช่น Relative Strength Index (RSI), Moving Average Convergence Divergence (MACD), หรือ Bollinger Bands เพื่อวิเคราะห์แนวโน้ม ความแรงของการเคลื่อนที่ราคา และระดับการซื้อเกิน (Overbought) หรือขายเกิน (Oversold) กราฟเส้นที่เปรียบเทียบกับตัวแปรอื่นๆ ช่วยให้นักเทรดสามารถมองเห็นภาพรวมของการเคลื่อนที่ราคา และตีความสัญญาณต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อตัดสินใจการเทรดได้อย่างระมัดระวังและมีฐานเหตุผล

วิธีอ่าน Barchart

Barchart หรือ กราฟแท่งแทนการเคลื่อนที่ของราคาในระยะเวลาที่กำหนด แต่ละแท่งจะแสดงราคาเปิด (Open), ราคาสูงสุด (High), ราคาต่ำสุด (Low) และราคาปิด (Close) ซึ่งมักจะย่อเป็น “OHLC”

วิธีอ่านกราฟ Barchart

วิธีอ่าน Barchart มีดังนี้

  • ส่วนยาวของแท่ง: ส่วนยาวของแท่งจะแสดงความแตกต่างระหว่างราคาสูงสุดและราคาต่ำสุดในระยะเวลานั้น
  • ส่วนข้างซ้ายของแท่ง: เป็นราคาเปิดของวันหรือระยะเวลานั้น
  • ส่วนข้างขวาของแท่ง: เป็นราคาปิดของวันหรือระยะเวลานั้น
  • การกำหนดสีแท่ง: บางกราฟจะกำหนดสีให้กับแท่ง เช่น
  • สีเขียว: หมายถึงราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด
  • สีแดง: หมายถึงราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด
  • การเปรียบเทียบแท่งแต่ละแท่ง: การดูแนวโน้มของการเคลื่อนที่ราคา สามารถดูได้จากการเปรียบเทียบแท่งแต่ละแท่งว่าราคาปิดมีการเคลื่อนที่ขึ้นหรือลงจากแท่งก่อนหน้า
  • รายละเอียดเพิ่มเติม: บางกราฟแท่งยังอาจจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมเช่น volume ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน

การอ่าน Barchart ช่วยให้นักเทรดและนักลงทุนเข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ราคาในระยะเวลาที่กำหนด และทำให้สามารถวิเคราะห์แนวโน้มหรือการเปลี่ยนแปลงทางเทคนิคของราคาได้