วิธีอ่านค่าผล backtest ของ MT4 และ MT5 ต้องดูอะไรที่สำคัญ

IUX Markets Bonus

Backtest คืออะไร

1 Backtest คืออะไร

Backtest หรือ การทดสอบย้อนหลัง คือ กระบวนการที่นักลงทุนหรือนักวิเคราะห์ใช้ เพื่อทดสอบความเป็นไปได้และประสิทธิภาพของระบบการเทรดหรือสูตรการลงทุนในแง่ของผลตอบแทน และความเสี่ยง จากข้อมูลราคาในอดีต หลักการคือ ถ้าระบบหรือสูตรที่คุณใช้มีประสิทธิภาพในอดีต มันก็มีโอกาสที่จะทำงานได้ดีในอนาคตด้วย แต่ต้องระวังเรื่อง “curve fitting” หรือการปรับระบบให้เหมาะสมกับข้อมูลในอดีตจนเกินไป ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพในอนาคตลดลง

Backtest จะเป็นประโยชน์ที่สุดเมื่อมีข้อมูลคุณภาพที่มีความถี่และความยาวเวลาเพียงพอ การทดสอบย้อนหลังนั้นจะต้องพิจารณาค่าคอมมิชชั่น สเปรด และสภาวะตลาดอื่น ๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อผลลัพธ์ของการเทรด ยิ่งข้อมูลที่ใช้ในการทดสอบมีคุณภาพและความถี่สูง ผลที่ได้จากการทดสอบย้อนหลังก็จะยิ่งมีความน่าเชื่อถือ

การทำ Backtest ที่ถูกต้องและเป็นวิทยาศาสตร์นั้นต้องการความรู้เฉพาะทางในการวิเคราะห์ข้อมูล การสถิติ และการโปรแกรม มักจะใช้ซอฟต์แวร์หรือเครื่องมือที่มีความสามารถในการทดสอบย้อนหลัง เช่น MetaTrader 4/5, NinjaTrader, หรือซอฟต์แวร์ที่มีความละเอียดและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้เป็นที่น่าเชื่อถือ

ต้องระวังว่า Backtest เป็นเพียงการทดสอบภายใต้เงื่อนไขและข้อมูลที่เป็นอดีต อาจไม่สามารถบ่งบอกถึงผลประสิทธิภาพในอนาคตได้ถูกต้อง 100% ดังนั้น จึงควรใช้ร่วมกับวิธีการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในระบบหรือสูตรการลงทุนของคุณมากขึ้น

 

วิธีอ่านค่าผล backtest ต้องดูอะไรที่สำคัญ

 YWO Promotion

การอ่านค่าผลจากการทดสอบย้อนหลังหรือ backtest ในสิ่งที่ควรสนใจหลักๆ มีดังนี้

  • ผลตอบแทนรวม (Total Returns): สิ่งนี้เป็นปัจจัยพื้นฐานที่สุด ซึ่งจะบอกถึงผลตอบแทนรวมที่ได้จากระบบในช่วงเวลาที่ทดสอบ
  • สัดส่วนชาร์ป (Sharpe Ratio): มีค่าตั้งแต่ติดลบถึงบวก และมักใช้ในการประเมินความเสี่ยงต่อผลตอบแทน
  • Drawdown: สิ่งนี้เป็นค่าวัดของการขาดทุนสูงสุดจากจุดสูงสุดในช่วงเวลาที่ทดสอบ ค่านี้ยิ่งต่ำยิ่งดี
  • Alpha และ Beta: Alpha วัดผลประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับตัวชี้วัดของตลาด ในขณะที่ Beta วัดความเสี่ยงเมื่อเทียบกับตัวชี้วัดของตลาด
  • ความเสถียรภาพของผลตอบแทน: ควรดูว่าผลตอบแทนมีการกระจายที่สม่ำเสมอหรือไม่ หรือว่ามีการขาดทุนในช่วงเวลาใดบ้าง
  • อัตราชนะ: อัตราส่วนของจำนวนรอบที่ชนะต่อจำนวนรอบทั้งหมด ควรสูงกว่า 50% ถือว่าดี
  • Profit Factor: คือ ผลรวมของผลตอบแทนจากการเทรดที่ชนะ หารด้วยผลรวมของผลตอบแทนจากการเทรดที่ขาดทุน
  • ปริมาณการซื้อขาย: หากมีการซื้อขายอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ถือว่าดี เนื่องจากนั่นหมายความว่าระบบมีความเสถียร
  • ต้นทุนเริ่มต้นและค่าใช้จ่าย: สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่สำคัญในการประเมินความคุ้มค่าของระบบ
  • สถิติอื่น ๆ: อาจมีค่าสถิติเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการเทรด หรือเงื่อนไขตลาด ที่คุณสนใจ

 

วิธีอ่านค่าผล backtest ของ MT4 และ MT5

การอ่านค่าผลการทดสอบย้อนหลัง (backtest) ใน MetaTrader 4 และ MetaTrader 5 ต้องดูปัจจัยหลายอย่าง เพื่อประเมินและตัดสินใจว่าระบบการเทรดของคุณมีประสิทธิภาพหรือไม่ และตรงกับเป้าหมายการลงทุนของคุณหรือไม่ ดังนี้

  • ความสามารถในการสร้างผลกำไร: สิ่งที่คุณควรมองหาก่อนเป็นอย่างไรคือระบบการเทรดของคุณสามารถสร้างผลกำไรในระยะยาวหรือไม่ จากนั้นคุณควรดูถึงการแจกแจงของผลกำไรและขาดทุน
  • Drawdown: คือ การขาดทุนสูงสุดจากจุดสูงสุด ซึ่งสิ่งนี้เป็นสัญญาณแจ้งเตือนถึงความเสี่ยงที่คุณจะต้องรับ
  • Profit Factor: คือ ผลรวมของผลกำไรจากการเทรดที่ชนะหารด้วยผลรวมของผลกำไรจากการเทรดที่ขาดทุน หากมีค่ามากกว่า 1 แสดงว่าระบบเป็นระบบที่ดี
  • อัตราการชนะ: คือ อัตราส่วนระหว่างการเทรดที่ชนะต่อการเทรดทั้งหมด ค่านี้ยิ่งสูงยิ่งดี แต่ควรระวังระบบที่มีอัตราการชนะสูงแต่กำไรน้อย
  • Expected Payoff: คือ คาดหวังว่าจะได้กำไรเท่าไหร่ในแต่ละการเทรด ค่านี้ควรเป็นบวกและยิ่งสูงยิ่งดี
  • Recovery Factor: คือ อัตราส่วนของผลกำไรต่อการขาดทุนสูงสุด (Drawdown) ค่านี้ควรสูง
  • Sharpe Ratio: คือ อัตราส่วนระหว่างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อความผันผวนของผลตอบแทน ค่านี้ยิ่งสูงยิ่งดี
  • Custom Criteria: ใน MT5 คุณยังสามารถสร้างเกณฑ์การประเมินเฉพาะของคุณเองได้ ที่คุณสามารถกำหนดให้ระบบคำนวณอัตโนมัติในรายงานการทดสอบย้อนหลัง
  • Visual Testing: ในทั้ง MT4 และ MT5 คุณสามารถดูการทำงานของระบบการเทรดของคุณในโหมดแสดงผล ซึ่งสามารถให้คุณเห็นถึงรายละเอียดที่อาจไม่แสดงในรายงาน
  • Test Duration: การทดสอบในระยะเวลาที่เพียงพอจะเพิ่มความน่าเชื่อถือของผลการทดสอบ จะดีถ้าคุณสามารถทดสอบระบบในช่วงเวลาที่หลากหลายและในเงื่อนไขตลาดที่แตกต่างกัน

 

หลักการอ่านค่าผล backtest

การอ่านค่าผล backtest หรือการทดสอบย้อนหลังในการเทรด Forex หรือหุ้นเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่ละปัจจัยมีความสำคัญในการประเมินประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของระบบการเทรดที่คุณใช้งานอยู่ ในสถานที่อย่าง MetaTrader 4 หรือ MetaTrader 5 มีหลายค่าที่คุณสามารถจะดูได้ แต่จะขอยกตัวอย่างจากข้อมูลที่มักเห็นในการทดสอบย้อนหลัง

ผลกำไรและขาดทุนเป็นสิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่จะเน้น แต่ต้องเข้าใจว่าเมื่อมีผลกำไรไม่หมายความว่าระบบนั้นเป็นระบบที่ดี คุณต้องดูทั้งหมดของสถิติ เช่น drawdown ที่บ่งบอกถึงการขาดทุนสูงสุดในระบบ Profit Factor ที่บ่งบอกถึงอัตราส่วนของกำไรและขาดทุน อัตราชนะ (Win Rate) ที่บ่งบอกถึงอัตราการชนะแต่ละครั้ง และ Expected Payoff หรือการคาดการณ์การจ่ายเงินที่คาดหวังจากระบบ

นอกจากนี้คุณยังต้องดูการกระจายของผลลัพธ์ หากผลลัพธ์เป็นบวกแต่กระจายอยู่ในช่วงที่กว้างขวาง อาจเป็นไปได้ว่าระบบมีความเสี่ยงที่สูง การดู Equity Curve หรือกราฟแสดงมูลค่าของบัญชีในช่วงเวลาต่าง ๆ ยังเป็นอีกหนึ่งวิธีในการประเมินความสามารถของระบบในการสร้างผลกำไรอย่างยั่งยืน

การเปรียบเทียบผล backtest ระหว่างประเภทของข้อมูล เช่น ข้อมูล M1 (1 นาที) หรือ H1 (1 ชั่วโมง) อาจช่วยให้คุณเข้าใจถึงประสิทธิภาพของระบบในเงื่อนไขตลาดที่แตกต่างกัน สิ่งนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าระบบเหมาะสมกับสไตล์การเทรดและความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้หรือไม่

ดังนั้น การอ่านค่าผล backtest ไม่ใช่เรื่องของการดูผลกำไรและขาดทุนเพียงอย่างเดียว แต่คุณต้องดูรูปภาพใหญ่ พิจารณาสถิติ และค่าตัวแปรหลายๆ อย่างในการประเมินประสิทธิภาพและความเสี่ยงของระบบการเทรดที่คุณกำลังใช้งาน

 

ขั้นตอนการอ่านค่า backtest อย่างละเอียด

การอ่านค่าผล backtest หรือการทดสอบย้อนหลังเป็นกระบวนการที่สำคัญในการประเมินระบบการเทรดใหม่หรือระบบที่มีอยู่ นี่คือขั้นตอนและหลักการที่ควรพิจารณาเมื่อวิเคราะห์ผล backtest

  1. เข้าใจวัตถุประสงค์ของการทดสอบ

คุณต้องเข้าใจว่าอยากทราบอะไรจากการทดสอบ แต่ละระบบการเทรดมีเป้าหมายและความเสี่ยงที่แตกต่างกัน การเข้าใจวัตถุประสงค์จะช่วยให้คุณสามารถเลือกตัวเลขและสถิติที่มีความสำคัญ

  1. สังเกตุผลกำไร/ขาดทุน

ผลกำไรและขาดทุนเป็นค่าพื้นฐานที่สำคัญ แต่ควรวิเคราะห์อย่างรอบคอบ เช่น สัดส่วนระหว่างกำไรและขาดทุน การกระจายของผลกำไร/ขาดทุน อัตราชนะ และค่าเฉลี่ยของผลกำไร/ขาดทุนในแต่ละเทรด

  1. สังเกตุ Drawdown

Drawdown คือการขาดทุนสูงสุดจากจุดสูงสุดในการเทรด มันบ่งบอกถึงความเสี่ยงและความทนทานของระบบการเทรด

  1. ประเมิน Profit Factor และ Expectancy

Profit Factor คือ ผลกำไรรวมหาระยะขาดทุนรวม ค่าที่สูงกว่า 1 ถือว่าดี ในขณะที่ Expectancy คือ คาดหวังของผลกำไรหรือขาดทุนต่อเทรด

  1. ตรวจสอบอัตราชนะ (Win Rate)

คือ สัดส่วนของเทรดที่ชนะต่อเทรดทั้งหมด อัตราชนะที่สูงไม่ได้หมายความว่าระบบเป็นระบบที่ดี มันควรพิจารณาร่วมกับค่า Expectancy

  1. ตรวจสอบการกระจายของผลลัพธ์

หากผลลัพธ์มีการกระจายที่แคบ มันบ่งบอกถึงความเสถียรของระบบ ในขณะที่การกระจายที่กว้างบ่งบอกถึงความไม่แน่นอน

  1. สังเกตุ Equity Curve

เป็นกราฟที่แสดงถึงมูลค่าของบัญชีในช่วงเวลา มันสามารถบ่งบอกถึงประสิทธิภาพและความเสี่ยงของระบบ

  1. ตรวจสอบความเสี่ยงต่อกำไร (Risk-to-Reward Ratio)

คือ สัดส่วนระหว่างความเสี่ยงและผลกำไรที่คาดหวัง ค่าที่สูงแสดงถึงความเสี่ยงที่ต่ำต่อกำไรที่คาดหวัง

  1. ตรวจสอบคุณภาพของข้อมูล

คุณควรตรวจสอบว่าข้อมูลที่ใช้ในการทดสอบเป็นข้อมูลที่มีคุณภาพ ไม่มีช่วงเวลาที่ขาดหายไป และเป็นการสะท้อนถึงตลาดในภาคจริง

  1. ทดสอบการทนทาน (Robustness Testing)

เป็นการทดสอบดูว่าระบบทำงานได้ดีในเงื่อนไขตลาดที่แตกต่างกันหรือไม่ คุณสามารถทำเช่นนั้นโดยการใช้ช่วงข้อมูลต่าง ๆ หรือปรับค่าพารามิเตอร์

2 ทดสอบการทนทาน (Robustness Testing)

เงื่อนไขของ backtest ที่เทรดเดอร์ควรรู้

การทำ backtest ในสายงานการเทรดเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่ เพื่อให้การทดสอบมีประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือ มีเงื่อนไขที่ควรรู้และทำความเข้าใจดังต่อไปนี้

  1. คุณภาพของข้อมูล: ต้องใช้ข้อมูลที่มีคุณภาพ ครอบคลุมช่วงเวลาที่ต้องการทดสอบ และไม่มีช่วงข้อมูลที่หายไปหรือเสียหาย
  2. ความถูกต้องของโค้ด: โค้ดในการทำ backtest ควรถูกต้องและไร้ข้อผิดพลาด การมีข้อผิดพลาดในโค้ดจะส่งผลทำให้ผลลัพธ์ไม่ถูกต้อง
  3. การคิดค่าคอมมิชชั่นและสเปรด: ต้องรวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างคอมมิชชั่น สเปรด และ slippage ในการทดสอบ เพื่อให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับความเป็นจริง
  4. Drawdown: ต้องสังเกตุและประเมิน drawdown ที่เกิดขึ้นในระบบ ซึ่งเป็นอัตราการขาดทุนสูงสุดที่เป็นไปได้
  5. Robustness: ควรทดสอบระบบในหลาย ๆ สถานการณ์และเงื่อนไขตลาดเพื่อทดสอบความทนทานของระบบ
  6. Curve-Fitting: ภายในการทดสอบควรหลีกเลี่ยงการใช้ค่าพารามิเตอร์ที่ทำให้ระบบดูดีเพียงแต่ในข้อมูลที่ใช้ทดสอบ แต่ไม่สามารถทำได้ดีในตลาดจริง
  7. การวัดผลและการประเมิน: ผลลัพธ์จากการทดสอบควรถูกวัดและประเมินอย่างครอบคลุม โดยรวมถึงอัตราชนะ อัตราความเสี่ยงต่อผลกำไร และอื่น ๆ
  8. เข้าใจความแตกต่างระหว่าง Backtest และการเทรดจริง: ควรรู้ว่าผลลัพธ์ในการทดสอบย้อนหลังเป็นการประเมินโดยใช้ข้อมูลที่เคยเกิดขึ้นแล้ว และอาจไม่สะท้อนถึงผลลัพธ์ในอนาคต
  9. การทดสอบในช่วงเวลาต่าง ๆ: การทำ backtest ควรทำในหลาย ๆ ช่วงเวลา ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของตลาด สภาวะตลาดที่ต่างกัน เพื่อวัดความสามารถในการปรับตัวของระบบ
  10. การใช้ Walk Forward Analysis (WFA): วิธีนี้เป็นการทดสอบที่สามารถประเมินประสิทธิภาพของระบบในอนาคตโดยการทดสอบในช่วงข้อมูลย้อนหลังแล้วทำการทดสอบต่อในข้อมูลที่ขยับขึ้นไป

 

backtest ดี และ backtest ไม่ดี ดูอย่างไร

backtest ที่ดี

  • ครอบคลุมช่วงเวลาที่ยาวนาน: การทดสอบที่ทำผ่านช่วงเวลาที่ยาวนานจะทำให้คุณได้รู้ถึงประสิทธิภาพของระบบในสภาวะตลาดที่แตกต่างกัน
  • ข้อมูลคุณภาพสูง: ข้อมูลที่ใช้ในการทดสอบควรเป็นข้อมูลที่มีคุณภาพและถูกต้อง
  • ไม่ Curve-Fitting: ระบบไม่ถูกปรับให้เหมาะสมกับข้อมูลในอดีตมากเกินไป
  • คำนึงถึงค่าคอมมิชชั่นและสเปรด: ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ถูกคำนวณไปในระบบ
  • ผลลัพธ์สอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุน: ถ้าเป้าหมายคือการสร้างผลตอบแทนที่สูง การทดสอบควรแสดงถึงภาพรวมที่ดีของระบบในการส achievesรับผลตอบแทน
  • Robustness ของระบบ: ระบบควรทำงานได้ดีในหลายสถานการณ์ตลาด
  • Drawdown ที่ยอมรับได้: ระดับของ drawdown ในผลการทดสอบควรอยู่ในระดับที่คุณยอมรับได้

Backtest ที่ไม่ดี

  • ช่วงเวลาทดสอบสั้น: ระบบที่ถูกทดสอบในช่วงเวลาที่สั้นอาจไม่สะท้อนถึงความสามารถในการปรับตัวเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาด
  • ข้อมูลคุณภาพต่ำหรือมีข้อผิดพลาด: ข้อมูลที่ไม่แม่นยำหรือไม่ครบถ้วนจะทำให้ผลลัพธ์เบี้ยวเบน
  • Curve-Fitting: ระบบที่ถูกปรับให้เหมาะสมกับข้อมูลย้อนหลังมากเกินไป จะทำให้ระบบดูดีเฉพาะในการทดสอบแต่ไม่สามารถทำได้ดีในอนาคต
  • ไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่าย: ถ้าค่าคอมมิชชั่นและสเปรดไม่ถูกคำนวณ ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่เป็นจริง
  • Drawdown สูงเกินไป: ระบบที่มี drawdown สูงในการทดสอบคือสัญญาณของความเสี่ยงที่อาจไม่สามารถยอมรับได้
 Exness Promotion
PNFPB Install PWA using share icon

For IOS and IPAD browsers, Install PWA using add to home screen in ios safari browser or add to dock option in macos safari browser