ADX indicator คือ อะไร Average Direction Index การตั้งค่ายังไง สูตร วิธีการใช้เจาะลึกใน Tradingview

ADX indicator คือ อะไร

ADX indicator คืออะไร

ADX Indicator คือ เครื่องมือที่ใช้วัดสภาวะตลาดทางการเงินชนิดหนึ่ง ย่อมาจาก “Average Directional Movement Index” เหมาะมากสำหรับการำไปใช้เป็นเครื่องมือ ทั้ง การเทรด Forex, หุ้น, ทองคำ ฯลฯ

ADX Indicator ใช้เพื่อ “วัดความแข็งแกร่ง” ของสภาวะแนวโน้มของตลาด เป็นหนึ่งใน Indicator พื้นฐานที่ติดมากับ MT4 ซึ่งไว้ใช้สำหรับวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม ของราคาว่าช่วงนั้นมีแนวโน้มจะก่อตัวเป็น Trend หรือว่า Sideway นั้นเอง

ดังนั้น จึงถือได้ว่า ADX Indicator คือ เครื่องที่จะวิเคราะห์ได้ว่า แนวโน้มมีโอกาสจบลงหรือยัง, วิเคราะห์ว่าสภาวะตลาดปัจจุบันมีความเป็น ” Sideway ไซด์เวย์” หรือไม่ ซึ่งก็จะแตกต่างจาก Indicator ตัวอื่นๆ ที่มีวัตถุประสงค์ในการ “ให้สัญญาณ” เทรดตรงๆ

ทำให้ ADX อาจจะไม่ได้รับความนิยมสำหรับการเทรดแบบ Scalping มากนัก แต่สำหรับการเทรดระยะยาว นั้นก็มีเทรดเดอร์นิยมเอาไปใช้กันอยู่มาก เป็นเครื่องมือหลักของใครหลายๆ คนเลยทีเดียว และใช้ได้ไม่ยากทั้งเทรดเดอร์มือใหม่และมืออาชีพ

อินดิเคเตอร์ ADX บน TradingView ไม่แสดงเส้น +DI และ -DI ด้วยตัวเอง แต่คุณสามารถใช้อินดิเคเตอร์ Directional Movement Index (DMI) เพื่อดูทั้งสามพร้อมกันได้

ADX indicator ใน TradingView

คำนิยาม ADX

Directional Movement คือชุดของตัวบ่งชี้สามตัวที่แยกจากกันรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ที่ประกอบด้วย ทิศทางการเคลื่อนที่ประกอบด้วยดัชนีทิศทางเฉลี่ย (ADX) ตัวบ่งชี้ทิศทางบวก (DI) และตัวบ่งชี้ทิศทางลบ (-DI)

จุดประสงค์ของ ADX คือ

การกำหนดว่ามีแนวโน้มเกิดขึ้นหรือไม่ ไม่คำนึงถึงทิศทางเลย ตัวบ่งชี้อีกสองตัว (DI และ -DI) ใช้เพื่อเสริม ADX มีจุดประสงค์เพื่อกำหนดทิศทางแนวโน้ม เมื่อรวมทั้งสามอย่างเข้าด้วยกัน นักวิเคราะห์ทางเทคนิคจะมีวิธีการกำหนดและวัดความแข็งแกร่งของเทรนด์รวมถึงทิศทางของมัน

หน้าที่ของ ADX indicator

หน้าที่หลักๆของ ADX

  • Indicator ADX นั้นจะบอกเทรดเดอร์ว่าเมื่อไหร่ตลาดเป็นเทรนด์  มันจะกรองสัญญาณและช่วยให้เทรนด์เรียบขึ้นจากช่วงที่เกิดสัญญาณหลอกได้
  • ADX เป็น Indicator ที่ใช้ยืนยันสัญญาณของตลาดว่ามีแนวโน้มหรือไม่ (Trend or Sideway) บอกความแข็งแกร่งของแนวโน้ม (ความแรงของราคาขึ้นหรือลง)
  • ADX ใช้คู่ควบกับ Plus หรือ Minus Direction Index (+Di ,-DI) เพื่อบอกแนวโน้มหรือเทรนด์ว่ากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลงได้
  • ADX Indicator ใช้เพื่อ “วัดความแข็งแกร่ง” ของสภาวะแนวโน้มของตลาด หรือ วัดความแข็งแกร่งของเทรนด์นั้นเอง

พื้นฐาน

  • DMI มีค่าระหว่าง 0 ถึง 100 และใช้เพื่อวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้มปัจจุบัน
  • จากนั้นใช้ +DI และ -DI เพื่อวัดทิศทาง
  • เมื่อรวมกันแล้ว ตัวบ่งชี้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าได้
  • การตีความทั่วไปคือในช่วงที่มีแนวโน้มแข็งแกร่ง (ADX สูงกว่า 25 แต่ขึ้นอยู่กับการตีความของนักวิเคราะห์)
  • เมื่อ +DI อยู่เหนือ -DI ตลาดกระทิงจะถูกกำหนดขึ้น เมื่อ -DI อยู่เหนือ +DI แสดงว่าตลาดหมีอยู่ในมือ

สิ่งหนึ่งที่ต้องพิจารณา คือ

ค่า DMI ที่กำหนด ความแรงหรือสัญญาณที่อาจเกิดขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับการตีความของเทรดเดอร์ ค่าที่ยอมรับได้อาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับเครื่องมือทางการเงินที่กำลังตรวจสอบ

ดังนั้นการวิเคราะห์ในอดีตของตราสารที่เป็นปัญหาจึงควรใช้ความระมัดระวัง นักวิเคราะห์ทางเทคนิคสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นโดยพิจารณาจากสิ่งที่เกิดขึ้นในตัวอย่างในอดีต

ความเป็นมา ADX

ประวัติศาสตร์

  1. Welles Wilder ได้สร้าง DMI และนำเสนอไว้ในหนังสือ New Concepts in Technical Trading Systems หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ในปี 1978 และยังมีตัวบ่งชี้คลาสสิกหลายตัวของเขาเช่น; ดัชนีความสัมพันธ์สัมพัทธ์ ค่าเฉลี่ย True Range (ATR) และ Parabolic SAR เช่น เดียวกับตัวบ่งชี้ที่กล่าวถึง DMI ยังคงใช้กันอย่างแพร่หลาย และมีความสำคัญอย่างยิ่งในโลกของการวิเคราะห์ทางเทคนิคอีกมาก

ดังนี้

  • ถูกพัฒนาขึ้นในปี 1978 โดย Welles Wilder (ผู้คิดค้น ATR , RSI , Parabolic SAR)
  • เป็นชุดหนึ่งของเครื่องมือทางการเงินของ Welles Wilder ชื่อเรียก ADX เป็นชื่อที่นิยมเรียกกัน
  • ต่อมา ADX จึงกลายเป็นเครื่องมือการวิเคราะห์ที่นิยมใช้กันต่อมา เพราะว่ามันมีให้ใช้ในโปรแกรมพื้นฐานที่ปรากฏอยู่ทั่วไปเช่น MQL4 ได้
  • ตัว ADX เป็นการรวมกันของ 2 indicator ที่ถูกพัฒนาโดย Wilder คือ positive directional indicator (abbreviated +DI) และ Negative Directional Indicator (-DI) ADX รวม indicator 2 อัน ทำให้มันเรียบโดยใช้ Moving Average

การสร้าง ADX

การสร้าง ADX ต้องใช้ Indicator 3 ตัว ซึ่งจะประกอบด้วย 3 เส้น คือ

  1. Plus Directional Indicator (+DI)  บ่งชี้ถึงทิศทางฝั่ง + ของราคา
  2. Minus Directional Indicator (-DI)  บ่งชี้ถึงทิศทางฝั่ง – ของราคา
  3. Average Directional Index (ADX)  เฉลี่ยส่วนต่างของ +DI และ –DI

ถ้าเรานำ 3 ตัวเหล่านี้มารวมกัน ก็จะสามารถอธิบายถึง ทิศทางของแนวโน้ม และ ความแข็งแกร่งของแนวโน้มได้ ซึ่ง +DI และ -DI จะเป็นตัวที่ไว้บอกถึง “แนวโน้ม” ราคา ว่าในช่วงนั้นมีทิศทางเป็นอย่างไร (เป็น + หรือ -) ส่วน ADX จะเป็นตัวที่คอยตอกย้ำถึงแนวโน้มช่วงนั้นว่า “แข็งแกร่ง” จริงหรือไม่ (ADX ไม่ได้บอกทิศทาง บอกแค่ว่า แข็งแกร่ง หรือ ไม่แข็งแกร่ง) นั้นเอง

สูตรการคำนวณ ADX

การเคลื่อนที่ตามทิศทางคำนวณ โดยการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างจุดต่ำสุดที่ต่อเนื่องกันสองครั้งกับความแตกต่างระหว่างจุดสูงสุดตามลำดับ

ทิศทางการเคลื่อนที่เป็นบวก (บวก) เมื่อค่าสูงสุดในปัจจุบันลบค่าสูงสุดก่อนหน้ามากกว่าค่าต่ำสุดก่อนหน้าลบค่าต่ำสุดในปัจจุบัน สิ่งนี้เรียกว่า Plus Directional Movement (+DM) จากนั้นจะเท่ากับค่าสูงสุดปัจจุบันลบค่าสูงสุดก่อนหน้า หากเป็นค่าบวก ค่าลบจะถูกป้อนเป็นศูนย์

ทิศทางการเคลื่อนที่เป็นค่าลบ (ลบ) เมื่อค่าต่ำสุดก่อนหน้าลบค่าต่ำสุดปัจจุบันมากกว่าค่าสูงสุดในปัจจุบันลบค่าสูงสุดก่อนหน้า สิ่งนี้เรียกว่า Minus Directional Movement (-DM) เท่ากับค่าต่ำสุดก่อนหน้าลบค่าต่ำสุดในปัจจุบัน หากเป็นค่าบวก ค่าลบจะถูกป้อนเป็นศูนย์

การคำนวณ DMI สามารถแบ่งออกเป็นสองส่วน อย่างแรก คำนวณ +DI และ –DI และอย่างที่สอง คำนวณ ADX ในการคำนวณ +DI และ –DI คุณต้องหา +DM และ –DM (การเคลื่อนที่ตามทิศทาง) +DM และ –DM คำนวณโดยใช้ High, Low และ Close สำหรับแต่ละช่วงเวลา จากนั้นคุณสามารถคำนวณสิ่งต่อไปนี้:

ADX Indicator การคำนวณ DMI

  • ถ้า UpMove > DownMove และ UpMove > 0 ดังนั้น +DM = UpMove มิฉะนั้น +DM = 0
  • ถ้า DownMove > Upmove และ Downmove > 0 ดังนั้น -DM = DownMove มิฉะนั้น -DM = 0

เมื่อคุณคำนวณ +DM และ –DM ปัจจุบันแล้ว บรรทัด +DM และ -DM สามารถคำนวณและลงจุดตามจำนวนช่วงเวลาที่ผู้ใช้กำหนด

  • +DI = 100 เท่าของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียลของ (+DM / ช่วงทรูเฉลี่ย)
  • -DI = 100 เท่าของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โปเนนเชียลของ (-DM / Average True Range)

เมื่อคำนวณ -+DX และ –DX แล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการคำนวณ ADX

  • ADX = 100 เท่าของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียลของค่าสัมบูรณ์ของ (+DI – -DI) / (+DI + -DI)

วิธีการคำนวณจะเริ่มจาก

ข้อ 1
ข้อ 2
ข้อ 3
ข้อ 4
คำนวณ True Range , +DM และ –DM
คำนวณผลรวมของ True Range , +DM และ –DM
หาค่า +DI และ –DI
ส่วนค่า ADX เป็นค่าเฉลี่ย 14 วันของ DX
วิธีการคำนวณอยู่ด้านล่าง
ค่ามาตรฐานในการรวมอยู่ที่ 14 วัน จะได้ TR14 , +DM14 และ -DM14
โดย +DI = +DM14 / TR14 และ -DI = -DM14 / TR14
โดยที่ DX มาจาก DI 14 Diff / DI 14 Sum หรือ (ส่วนต่างของ +DI และ -DI) หารด้วย (ผลรวมของ +DI และ -DI)

การคำนวณ DMI (+DM และ –DM)

+DM (Plus Directional Movement)

+DM (Plus Directional Movement) จะคำนวณเมื่อ ราคา High ปัจจุบัน (Current High) ลบ High ของวันก่อนหน้า (Prior High) มีค่ามากกว่า ราคา Low วันก่อนหน้า (Prior Low) ลบ Low ปัจจุบัน (Current Low)

  • โดยเมื่อ High ปัจจุบัน ลบ High ก่อนหน้า มีค่าเป็น บวก จะถูกมาคำนวณ แต่ถ้าหากเป็น ลบ จะให้ค่าเป็น 0

-DM (Minus Directional Movement)

-DM (Minus Directional Movement) จะคำนวณเมื่อ Low ก่อนหน้า (Prior Low) ลบ Low ปัจจุบัน มีค่ามากกว่า High ปัจจุบัน (Current High) ลบ High วันก่อนหน้า (Prior High) … โดยเมื่อ Low ก่อนหน้า ลบ Low ปัจจุบัน มีค่าเป็น บวก จะถูกมาคำนวณ แต่ถ้าหากเป็น ลบ จะให้ค่าเป็น 0

  • ถ้าเกิดกรณี +DM และ -DM ได้เป็นบวกทั้งคู่ จะเลือกคำนวณเฉพาะค่ามากกว่า และให้ค่าเป็นฝั่งนึงเป็น 0
  • ถ้าเกิดกรณี +DM และ -DM ให้ค่าเป็นลบทั้งคู่ จะตีค่าเป็น 0 ทั้งคู่

ตัวอย่างการคำนวณจริงของ +DM และ –DM

ADX Indicator ตัวอย่างการคำนวณ DM

(ตัวอย่างมาจาก school.stockcharts.com)

จากภาพด้านบนนี้ เป็นตัวอย่างการคำนวณ +DM และ –DM ใน 4 รูปแบบ

  • ซ้ายมือสุด : กระโดดเปิด Gap
  • ถัดมา : แท่งเทียนลักษณะ Outside bar
  • ถัดมาลำดับที่ 3 : เกิดลบรุนแรง
  • ขวามือสุด : แท่งเทียนลักษณะ Inside bar

ข้อสังเกตเพิ่มเติมจากภาพด้านบน

  • ถ้าเกิดกรณี +DM และ -DM ได้เป็นบวกทั้งคู่ จะเลือกคำนวณเฉพาะค่ามากกว่า และให้ค่าเป็นฝั่งนึงเป็น 0
  • ถ้าเกิดกรณี +DM และ -DM ให้ค่าเป็นลบทั้งคู่ จะตีค่าเป็น 0 ทั้งคู่

ตารางการคำนวณ

จากตารางนี้ คือตัวอย่างสเปรดชีตที่มีการคำนวณทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง มีช่องว่างในการคำนวณ 119 วัน เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 150 งวด

ADX indicator ตารางการคำนวณ

การตีความหมาย

จากที่ได้บอกได้แล้วในเบื้องต้น ว่า +DI และ -DI ไว้ดูทิศทางของราคา ส่วน ADX จะเป็นตัวยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มในช่วงนั้น

การดูความแข็งแกร่งของแนวโน้ม ADX

  • ADX จะคอยบอกเราว่าทิศทางในช่วงนั้นเป็นแนวโน้ม (strong trend) หรือ ไม่เป็นแนวโน้ม (no trend)
  • การที่ราคาเคลื่อนไหวเป็นอย่างมีแนวโน้มจะทำให้เวลาเราเทรดสามารถรันเทรนและเก็บกำไรได้ดีกว่าช่วงที่ราคาไม่เป็นแนวโน้ม

Wilder แนะนำว่าในช่วง Strong trend คือช่วงที่ค่า ADX > 25

  • ส่วนช่วงที่ no trend คือช่วงที่ ADX < 20

เนื่องจากคำแนะนำนี้มีช่วง Wilder ไม่ได้ให้ความหมาย (20-25) หรือที่เรียกกันว่า Grey Zone ดังนั้น นักเทคนิคส่วนมากจึงปรับมาใช้ระดับที่ 20 เป็น Key level แทน

ADX Indicator การดูความแข็งแกร่งของแนวโน้ม

ดูทิศทางของราคา : +DI / -DI (DMI)

Buy Signal จะเกิดเมื่อ +DI ตัด -DI ขึ้น ส่วน Sell Signal จะเกิดขึ้นเมื่อ -DI ตัด +DI ลง และขณะเดียวกัน ADX ต้องอยู่เหนือระดับ 25 (ตามคำแนะนำของ Wilder) Stop loss ที่ระดับ Low ของ Signal Day (กรณี Buy ส่วน Sell ก็ใช้ระดับ High แทน)

เครื่องมือ ADX และ DMI เป็น Indicator ที่ครบเครื่องเลยทีเดียว สามารถวัดได้ทั้งทิศทาง และ ความแข็งแกร่งของแนวโน้ม ภายในเครื่องมือเดียว ซึ่งมีน้อย Indicator นักที่สามารถทำได้ จึงถือว่าเป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพในหมู่นักเทคนิค

ADX Indicator ดูทิศทางของราคา DM ADX Indicator ดูทิศทางของราคา +DM

การตั้งค่า DMI ยังไง

โดยทั่วไปค่า ADX จะอยู่ในช่วง 0 – 100 ซึ่งเราสามารถตีความค่าในช่วงละช่วงได้ดังนี้

  • ช่วง ต่ำกว่า 25 : ราคาในช่วงนั้นเป็นลักษณะ Sideway
  • ช่วง 25 – 50 : ค่อนข้างมีความเป็นแนวโน้มที่แข็งแกร่ง โดยค่า ADX ในช่วงนี้ เมื่อราคาทดสอบระดับแนวรับหรือแนวต้าน จะมีโอกาสการ Break ผ่านสูง
  • ช่วง 75 ขึ้นไป : โอกาสเห็นเห็นมีน้อย แต่เมื่อเกิดขึ้นจะแสงถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้มที่มาก ราคาขึ้นลงอย่างชัน

ความแรงของแนวโน้ม

  • การวิเคราะห์ความแข็งแกร่งของแนวโน้มเป็นการใช้งานพื้นฐานที่สุดสำหรับ DMI ในการวิเคราะห์ความแข็งแกร่งของแนวโน้ม ควรโฟกัสที่เส้น ADX ไม่ใช่เส้น +DI หรือ -DI
  • Wilder เชื่อว่าค่า DMI ที่สูงกว่า 25 บ่งชี้ถึงแนวโน้มที่แข็งแกร่ง ในขณะที่การอ่านค่าที่ต่ำกว่า 20 บ่งชี้ถึงแนวโน้มที่อ่อนแอหรือไม่มีอยู่จริง
  • การอ่านระหว่างค่าทั้งสองจะถือว่าไม่สามารถระบุได้
  • เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์จะไม่นำค่า 25 และ 20 ไปใช้ในทุกสถานการณ์

ADX Indicator ความแข็งแรงของแนวโน้ม

นอกจากนี้ Wilder ได้พัฒนา DMI สำหรับใช้กับสกุลเงินและสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งโดยทั่วไปจะมีความผันผวนมากกว่าหุ้นและมีแนวโน้มที่แข็งแกร่งกว่า สิ่งนี้จะเป็นปัจจัยในการพิจารณาว่าค่าใดเหมาะสม ไม่เพียงแต่สำหรับการวิเคราะห์ความแข็งแกร่งของแนวโน้ม แต่ยังรวมถึงสัญญาณใดๆ ที่สร้างขึ้นด้วย

และสิ่งที่ Wilder คิดไว้ในตอนแรก คือ เขาได้คิดไว้ เพื่อการเทรดพวกสินค้า Commodity และ Currency แต่ในปัจจุบันเทรดเดอร์ส่วนมากนำมาประยุกต์ใช้กับการเทรดหุ้น เพราะเห็นว่าหุ้นบางตัวก็มีลักษณะการเคลื่อนไหวแบบสินค้าพวก Commodity และ Currency จึงนิยมเอามาปรับใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันนั้นเอง

Crosses

DI Crossovers เป็นสัญญาณการซื้อขายที่สำคัญที่สร้างโดย DMI มีเงื่อนไขเฉพาะสำหรับการข้ามแต่ละครั้ง

Bullish DI Cross

  • ADX ต้องมากกว่า 25 (แนวโน้มแข็งแกร่ง มูลค่าถูกกำหนดโดยเทรดเดอร์)
  • +DI ข้ามเหนือ -DI
  • ควรตั้งค่า Stop Loss ที่จุดต่ำสุดของวันปัจจุบัน ไม่ควรละทิ้งสัญญาณ ถ้าค่าต่ำสุดไม่ถูกละเมิด แม้ว่า -DI จะตัดเหนือ +DI ก็ตาม
  • สัญญาณจะแรงขึ้นหาก ADX เพิ่มขึ้น
  • หาก ADX แข็งแกร่งขึ้น ผู้ค้าควรใช้จุดหยุดต่อท้าย

ADX indicator แบบ Bullish DI Cross

Bearish DI Cross

  • ADX ต้องมากกว่า 25 (แนวโน้มแข็งแกร่ง มูลค่าถูกกำหนดโดยเทรดเดอร์)
  • -DI ข้ามเหนือ +DI
  • ควรตั้งค่า Stop Loss ที่จุดสูงสุดของวันปัจจุบัน ไม่ควรละทิ้งสัญญาณ หากไม่ทะลุจุดสูงสุด แม้ว่า +DI จะตัดเหนือ -DI ก็ตาม
  • สัญญาณจะแรงขึ้นหาก ADX เพิ่มขึ้น
  • หาก ADX แข็งแกร่งขึ้น ผู้ค้าควรใช้จุดหยุดต่อท้าย

ADX indicator แบบ Bearish DI Cross

สรุปตัวบ่งชี้ DMI

Directional Movement (DMI) เป็นอีกหนึ่ง เป็นตัวบ่งชี้การวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีค่ามาก ซึ่งจัดทำโดย Wilder ต้องใช้เรื่องที่ซับซ้อนมาก ในเรื่องของความแข็งแกร่งและทิศทางของแนวโน้ม และคำนวณออกมาเป็นภาพที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา

ประเด็นสำคัญของการใช้ DMI คือ แม้ว่าจะสามารถให้ข้อมูลที่มีคุณภาพ และแม้กระทั่งสัญญาณการซื้อขาย แต่ก็ไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่ง่ายที่จะเชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจาก DMI นักวิเคราะห์ทางเทคนิคจะต้องศึกษาและปรับแต่งการใช้ตัวบ่งชี้อย่างต่อเนื่อง การผสมผสานความรู้เกี่ยวกับวิธีการทำงานของ DMI และความสามารถของมัน ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์และประสบการณ์ในอดีตในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยให้เทรดเดอร์ทำให้ DMI เป็นส่วนเสริมที่ดี และเป็นไปได้สำหรับกลยุทธ์การซื้อขายโดยรวม

ADX Indicator ตัวบ่งชี้ DMI

ADX สำหรับ Forex ใช้บอกแนวโน้มค่าเงิน

ใน forex การเทรด ADX จะแบ่งความแข็งแกร่งของตลาด โดยแบ่งโซนออกเป็นช่วงต่างๆ ที่นิยมกันคือการแบ่ง ADX เป็น 4 ระดับ ได้แก่

  • ถ้าเส้น ADX มีค่า 0-25 : ความแข็งแกร่งของแนวโน้ม : “ไม่มี” หรือ “อ่อนแอ”
  • ถ้าเส้น ADX มีค่า 25-50 : แนวโน้มถือว่ามี “ความแข็งแกร่ง”
  • ถ้าเส้น ADX มีค่า 50-75 : แนวโน้มแข็งแกร่งมาก
  • ถ้าเส้น ADX มีค่า 75-100 : แข็งแกร่งเกินค่าเฉลี่ยทั่วไปอย่างมาก เกิดขึ้นได้น้อย และสภาวะแบบนี้จะอยู่ได้ไม่นานนัก

โดยเทรดเดอร์สามารถเพิ่มเส้นแบ่ง เพื่อให้สังเกตได้ชัดเจนจากหน้าต่างการตั้งค่าของ ADX ใน MT4 ดังภาพด้านล่างนี้

ADX Indicator เส้น ADX บน MT4

ใช้ ADX แยก “แนวโน้ม” กับ “ไซด์เวย์”

  • ADX สามารถบอกความเป็นแนวโน้มได้ โดยสังเกตว่าเส้น ADX อยู่ในโซนไหน ให้ลองสังเกตจากกราฟด้านล่างในจังหวะที่ราคาเปลี่ยนจากแนวโน้มขาลงที่ยาวนาน ดีดกลับตัวขึ้นมา (เราจะยังไม่รู้ว่าจะเป็น “ไซด์เวย์” หรือ “กลับตัว”)
  • ตัวเส้น ADX จะลดระดับลงมาใกล้ๆ 50 นั่น คือแนวโน้มยังแข็งแกร่งอยู่ แต่ลดความรุนแรงลง
  • แต่ถ้ากลับไปดูก่อนหน้านั้น จะเป็นช่วงที่ ADX วิ่งต่ำกว่า 25 โดยมันจะเป็นช่วงที่ตลาดเทรดเป็นกรอบหรือไซด์เวย์
  • ซึ่งจากเทคนิค DI ที่อธิบายไปก่อนหน้า จะแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่า ADX จะเป็นแนวโน้มหรือไซด์เวย์ ตัวเส้น DI จะเสมือนเป็นตัวชี้เป้าว่า
  • แนะนำว่าในช่วงเวลานี้ ควรจะเล่นหน้า Buy หรือ Sell มากกว่ากัน ให้จำง่ายๆ แบบนี้ก็ได้ว่า
  • ADX บอก “แนวโน้ม” หรือ “ไซด์เวย์” : ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดกลยุทธิ์ว่าจะเล่นแบบ Trend, Breakout หรืออื่นๆ ฯลฯ
  • DI จะบอกภาพรวมว่า หน้า Buy หรือ Sell แข็งแกร่งกว่ากัน ซึ่ง DI อาจจะให้สัญญาณได้ก่อนด้วย อย่างตัวอย่างที่อธิบายก่อนหน้านี้ได้

วิธีการใช้เจาะลึกใน DMI ใน Tradingview

Inputs

ADX Indicator วิธีใช้ DMI ใน TradingView

ช่วงเวลา ADX

  • ช่วงเวลาที่ใช้ในการคำนวณ ADX ซึ่งมีส่วนประกอบที่ปรับให้เรียบ (14 is the Default)

DI Length

  • ช่วงเวลาที่ใช้ในการคำนวณ DI (14 is Default)

Style

ADX Indicator วิธีปรับ Style

ADX

เส้น ADX ใช้เป็นเส้นเพียงลำพัง เพื่อบ่งบอกหรือยืนยันการเกิดเทรนด์ร่วมทั้งความแข็งแกร่งของเทรนด์ โดยดูจาก, ถ้าเส้น ADX มากกว่า 20 มีความหมายคือเกิด Trend และมีความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง, ถ้าเส้น ADX น้อย 20 ความหมาย คือ ไม่เกิด Trend เป็นการเคลื่อนที่แบบ Sideway หรือ Trend ยังอ่อนอยู่นั้นเอง

  • เส้น ADX ยังไม่สามารถบอกเทรนด์ว่าเป็นขาขึ้นหรือขาลงได้ ต้องดูจาก เส้น +DI กับเส้น -DI
  • สามารถสลับการมองเห็นเส้น ADX เช่นเดียวกับการมองเห็นเส้นราคาที่แสดงมูลค่าปัจจุบันที่แท้จริงของ ADX
  • ยังสามารถเลือกสีของเส้น ADX ความหนาของเส้น และรูปแบบการมองเห็น (เส้นคือค่าเริ่มต้น) (Line is the Default)

+DI

เส้น +DI ใช้ดูควบคู่กับเส้น -DI เพื่อดูแนวโน้ม และหาจุดที่ควรซื้อ โดยต้องดูเส้น ADX ประกอบ เพื่อหาสัญญาณซื้อที่ดี ซึ่งดูได้จาก, ถ้าเส้น +DI ตัดเส้น -DI ขึ้น แสดงว่าเป็นแนวโน้มขาขึ้น ถือว่าเป็นจุดที่ควรซื้อ และแนะนำให้ควรให้เส้น ADX อยู่เหนือ Level 20-25 จึงถือว่าเป็นสัญญาณซื้อที่ดีที่สุด ณ ตรงนี้นั้นเอง

  • สามารถสลับการมองเห็นของเส้น +DI เช่นเดียวกับการมองเห็นของเส้นราคาที่แสดงมูลค่าปัจจุบันที่แท้จริงของ +DI
  • ยังสามารถเลือกสี ความหนาของเส้น และรูปแบบการมองเห็นของเส้น +DI (เส้นคือค่าเริ่มต้น)

-DI

เส้น -DI ใช้ดูควบคู่กับเส้น +DI เพื่อหาดูแนวโน้ม และหาจุดที่ควรจะขาย โดยจะต้องดูเส้น ADX ประกอบ เพื่อการหาสัญญาณขายที่ดี ซึ่งดูได้จาก, ถ้าเส้น -DI ตัดเส้น +DI ขึ้น นั้นหมายถึงเป็นแนวโน้มขาลง จึงเป็นจุดที่ควรขาย และควรต้องให้เส้น ADX อยู่เหนือ Level 20-25 จึงจะถือว่าเป็นสัญญาณขายที่ดี

  • สามารถสลับการมองเห็นของเส้น -DI เช่นเดียวกับการมองเห็นของเส้นราคาที่แสดงมูลค่าปัจจุบันที่แท้จริงของ -DI
  • ยังสามารถเลือกสี ความหนาของเส้น และลักษณะการมองเห็นของเส้น -DI Line ได้ (Line is the Default)

Precision

  • ตั้งค่าจำนวนตำแหน่งทศนิยมที่จะทิ้งไว้ในค่าของตัวบ่งชี้ก่อนที่จะปัดเศษขึ้น
  • ยิ่งตัวเลขนี้สูง จุดทศนิยมก็จะมากขึ้นตามค่าของตัวบ่งชี้ด้วย

สรุปการใช้ ADX

  • ควรใช้แยกแยะระหว่างช่วงที่เป็น Trend กับ Sideway
  • ควรแบ่งระดับความแข็งแกร่งออกเป็นช่วง 25 , 50 และ 75
  • การเกิด Divergence ของ ADX เป็นการแสดงถึงความเป็นแนวโน้มเริ่มอ่อนแรงลง
  • สามารถประเมินโอกาสการ ผ่าน หรือ ไม่ผ่าน และ แนวรับ / แนวต้าน ได้