ทฤษฎีการลงทุน คืออะไร
ทฤษฎีการลงทุนในตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดหลักทรัพย์ คริปโต ตลาด Forex จะต้องมีหลักยึด ว่าเป็นไปตามหลักการใด ดังนั้นทฤษฎีจึงใช้เป็นแนวทางในการลงทุน แต่ละทฤษฎีมีความเชื่อแตกต่างกัน มีการพิสูจน์ตามหลักวิชาการ แล้วแต่ละทฤษฎีมีอะไรบ้างเป็นอย่างไรบ้าง มาดูกัน
- ทฤษฎีตลาดมีประสิทธิภาพ ( Efficient Markets Hypothesis)
- ทฤษฎี 50 % ของคนในตลาด (Fifty-Percent Principle)
- ทฤษฎีคนโง่ผู้ยิ่งใหญ่ (Greater Fool Theory)
- ทฤษฎี Odd Lot
- ทฤษฎีกลัวขาดทุน (Prospect Theory)
- ทฤษฎีความคาดหวังอย่างมีเหตุผล (Rational Expectations Theory)
- ทฤษฎีพื้นฐานของกิจการ
- ทฤษฎีการวิเคราะห์ทางเทคนิค
ทฤษฎีตลาดมีประสิทธิภาพ ( Efficient Markets Hypothesis)
ก่อนอื่นเรามาดูรายละเอียดเกี่ยวกับทฤษฎีตลาดมีประสิทธิภาพกัน
ตลาดที่มีประสิทธิภาพ (Efficient Market) คืออะไร
ตลาดที่มีประสิทธิภาพคือ ตลาดที่ราคาหลักทรัพย์ได้สะท้อนถึงมูลค่าที่แท้จริงอยู่แล้ว สะท้อนระดับความมีประสิทธิภาพตามระดับของข่าวสารไปยังนักลงทุนเรียบร้อย
- Efficient Market Hypothesis (EMH) เป็นทฤษฎีของ Eugene Fama University of Chicago
- ได้ตีพิมพ์ผลงานในปีค.ศ. 1995 โดย มีความเชื่อว่า
- ตลาดเงินจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเสมอ
- นั่นคือ ราคาของสินทรัพยจะสะท้อนข่าวออกมาแล้วผ่านมูลค่า
ระดับของข่าวสาาร
ข่าวสารขอ้มูลที่แพร่ไปยงัผลู้งทุน อาจจา แนกออกเป็น 3 ระดับ คือ
- ข้อมูลตลาด (Market Information) คือ ข้อมูลเกี่ยวกับราคาและปริมาณที่เกิดขึ้นแล้ว
- ข้อมูลสาธารณะ(Public Information) คือ ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท เช่น กำไร ปันผล ควบรวมกิจการ ผลิตภัณฑ์ใหม่ วิธีการทางบัญชี
- ข้อมูลทุกประเภท (All Information) ข้อมูลที่เกิดขึ้นภายในและภายนอก
ความมีประสิทธิภาพในระดับต่ำ (Weak–Form Efficiency)
คือ รูปแบบข่าวสารที่ใช้ประเมินเพื่อตัดสินใจขื้อขายหุ้น ข้อมูลตลาด
- ได้แก่ ข้อมูลด้านปริมาณ ราคาการหุ้นที่เกิดแล้ว
- แสดงว่าไม่สามารถใช้ข้อมูลในอดีตด้านปริมาณหรือราคามาใช้พยากรณ์ราคาในอนาคต
- เพราะราคาปัจจุบันได้สะท้อนข่าวสารแล้ว
ความมีประสิทธิภาพของตลาดในระดับกลาง (Semi-Strong-Form Efficiency)
คือ ข่าวสารที่ใช้ประเมินเพื่อตัดสินใจซื้อขายหุ้น ได้แก่
- ข้อมูลตลาด ซึ่งผู้ลงทุนยังใช้ข่าวสารได้รับทราบและมีอยู่
- ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลอดีต ปัจจุบัน และการเดาอนาคต
- แสดงว่าราคาปัจจุบันของหลักทรัพย์ในตลาด ได้สะท้อนข่าวสารไว้อย่างเต็มที่ ซึ่งในตลาดที่มีประสิทธิภาพ
- ระดับกลางไม่สามารถใช้กลยุทธ์การลงทุนที่อิงอยู่บนข่าวสารที่เผยแพร่ต่อสาธารณะได้
- เนื่องจากราคามีการเปลี่ยนเพื่อตอบสนองต่อข่าวสารสาธารณะอย่างเป็นระบบ เหมาะสม รวดเร็ว
- เจ้าของหุ้นจะได้กำไรหรือขาดทุนจากหลักทรัพย์ทันทีที่มีการประกาศข่าวออก
- หลังจากนั้นจะไม่มีคนทำกำไรได้จากข่าวนี้อีก
ความมีประสิทธิภาพของตลาดในระดับสูง (Strong-Form Efficiency)
คือ ข่าวที่ใช้ประเมินเพื่อตัดสินใจซื้อขายหุ้น ได้แก่
- ข่าวสารทุกประเภทรวมที่เป็นสารธารณะ และไม่เป็นสาธารณะ
- ข่าวสารที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจของรัฐ
- โดยไม่สามารถใช้ข้อมูลหรือข่าวสารที่มีนักลงทุนรู้ แม้เพียงคนเดียวมากำวิธีการทำกำไร
- เนื่องจากข่าวสารทั้งหมดได้สะท้อนรวมอยู่ในราคาของหลักทรัพย์แล้ว
ความมีประสิทธิภาพของตลาดทั้ง 3 ระดับ มีความสัมพันธ์กันแบบต่อเนื่อง อย่างแยกไม่ได้
ทฤษฎี 50 % ของคนในตลาด (Fifty-Percent Principle)
หลักการ 50 % บอกว่า trend ที่เกิดขึ้น จะเคลื่อนไหว 20 % เป็นขาขึ้นก่อน ก่อนจะพักฐานครึ่งหนึ่ง คือ 50 % หรือก็คือ ราคาลง 10 % นั่นแหละ ก่อนที่จะไปต่อ ซึ่งแนวคิดนี้สามารถใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคได้
หลักการของทฤษฎี 50 %
หลักการของทฤษฎี 50 % ง่าย คือ ถ้าหากมีเรื่องต้องตัดสินใจ เหตุการณ์จะเกิดขึ้น เมื่อมีกลุ่มคนมากกว่าครึ่งหนึ่งที่เห็นว่า การตัดสินใจจะเป็นแบบนั้น ซึ่งการเกิดเกิน 50 % ก็จะส่งผลต่อผลของราคา ซึ่งนั่นก็คือ การเคลื่อนไหวของราคา โดยหลักการนี้จะถูกใช้ประยุกต์ในกราฟ โดยกล่าวว่า เมื่อราคาเพิ่มขึ้น 100 % จะมีคนกึ่งหนึ่งที่เห็นว่า ราคาขึ้นมาแพง และมีคนกึ่งหนึ่งขายออกมา
- จะใช้ในการพยากรณ์โดยใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ว่า การพักฐานจะเป็น 50 % ของเทรนด์
- อย่างไรก็ตามมันไม่ได้ใช้ตัวเลข 50 % ตรงไปตรงมา แต่ใช้ 50 – 67 %
- Technical analysts ใช้หลัก 50% ในการวิเคราะห์จุดเข้าในหุ้น และดูระดับแนวรับแนวต้านเพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ต่อ
- แนวคิดหลักนี้กล่าวว่านักลงทุนส่วนใหญ่มีพฤติกรรมคล้ายกัน
ทฤษฎีการวิเคราะห์ทางเทคนิค
การวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค คือ การที่นำข้อมูลราคาหลักทรัพย์ในอดีตมาอธิบายรูปแบบของ
ราคาหลักทรัพย์ในอนาคตอย่างมีแบบแผน หรือก็คือ การพยากรณ์การเคลื่อนไหวราคาด้วยหลักสถิติ
- แม้ว่านักลงทุนยังคงต้องรับรู้ถึงข้อมูลทางเศรษฐกิจของกิจการในอนาคต
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค คือ การตอบสนองของราคาหลักทรัพย์ที่มีผลมาจากอารมณ์ของตลาด
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคเชื่อว่า ราคาจะเคลื่อนไหวตามเทคนิคเนื่องจากมีคนใช้งานจำนวนมาก
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค กล่าวถึง การวิเคราะห์อารมณ์ของตลาด ผ่านกราฟราคา
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นการศึกษาพฤติกรรมของราคาหุ้นในอดีตโดยมีความเชื่อว่า “ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยเดิมเสมอ”
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นไปตามอารมณ์ของมนุษย์ที่มีทั้งความโลภ ความกลัว และความหวัง ซึ่งมาจากผลทางจิตวิทยา
- หากเราเข้าใจหลักการและสามารถเลือกใช้ “เครื่องมือทางเทคนิค” ได้อย่างเหมาะสม แม่นยำ จะสามารถเอาตัวรอดจากความผันผวนในตลาดหุ้น และมีโอกาสทำกำไรได้
รูปแบบของการวิเคราะห์ทางเทคนิค
การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) คือ การศึกษารูปแบบราคา หุ้น, Forex คริปโต แบ่งเป็น 3 ลักษณะ คือ
กราฟแท่งเทียน (Candlestick Pattern)
เทรดเดอร์จะทำการวิเคราะห์จากกราฟแท่งเทียน โดยมีทฤษฎีย่อยหลายแบบ โดยที่แตกต่างกันไป
- ซึ่งอาจจะเรียกรวมกันว่า Price Action
- นอกจากนี้ยังมี แนวรับ-แนวต้าน
- และกราฟราคาที่เรียกว่า รูปแบบราคา หรือ Price Pattern
- การวิเคราะห์แท่งเทียน ได้รับความนิยมสูงรูปแบบหนึ่ง
กราฟราคา (Chart Pattern)
กราฟราคา คือ กลุ่มของแท่งเทียนแทนที่จะเป็นการวิเคราะห์รายแท่งเทียน เรียกว่า Chart Pattern
- นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคนิคอื่น ๆ เสริม
- เช่น Elliott wave
- การวิเคราะห์ Price Action
- การวิเคราะห์โดยใช้ indicator
- หรือการใช้ Demand Supply Zone ก็ใช่เช่นเดียวกัน
- นอกจากนี้ยังมีการรวมไปใช้กับ Fibonacci อีกด้วย
อินดิเคเตอร์ (Indicator)
Indicator คือ เครื่องมือที่คิดค้นจากค่าสถิติ ส่วนใหญ่จะอ้างอิงจากค่า เฉลี่ยเคลื่อนที่ แล้วนำมา Plot เป็นกราฟ ตัวอย่าง Indicator ที่เป็นที่รู้จักดีได้แก่
- เส้นแนวโน้ม (Trend Line)
เส้นแนวโน้ม หรือ เส้น Trend Line คือ การตีเส้นตรงด้วยการกำหนดจุด 2 จุด แล้วตีเส้นเชื่อมเข้าหากัน เพื่อให้รู้ทิศทางความเคลื่อนไหวว่าราคาหุ้นเคลื่อนไหวอยู่ในแนวโน้มใด ถ้าเอียงขึ้นเรียกว่า เทรนด์ขาขึ้น เอียงลงเรียกว่าเทรนด์ขาลง
- เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average)
เส้น Moving Average คือ เครื่องมือที่คำนวณมาจากราคาเฉลี่ย โดยใช้ค่าคณิตศาสตร์ ซึ่งจะเฉลี่ย 5 – 10 วันแล้วแต่เทรดเดอร์จะเป็นผู้กำหนด
- MACD
MACD คือเครื่องมือที่คิดค้นขึ้นมาจากค่า Moving Average ที่มีค่าซับซ้อนกว่า และใช้ในการบอกเทรนด์ ประกอบด้วยเส้นให้สัญญาณ เรียกว่า Signal Line และเส้น Main Line คือเส้นเทรนด์ของ MACD
- RSI
RSI คือเครื่องมือบอกการแกว่งตัว เรียกว่า Oscillator ซึ่งจะกำหนดราคาที่สามารถบอกว่า แพง หรือ ถูกได้ จากการให้สัญญาณ เพื่อดูสภาวะการซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold)
- Stochastic
Stochastic คือ Indicator ที่มีลักษณะการใช้งานคล้ายกับ RSI แต่ใช้ในการวิเคราะห์สัญญาณซื้อ และสัญญาณขายในภาวะที่หุ้นเคลื่อนไหวในโครงสร้าง Sideways จะสามารถบอก Overbought Oversold ได้เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมืออื่น ๆ ที่มีชื่อเสียงในการวิเคราะห์ทางเทคนิคได้แก่ Elliott Wave ที่ไม่ได้อ้างอิงจากหลักการที่กล่าวมา
ทฤษฎี Dow หรือ Dow Theory
ทฤษฎีดาว คืออะไร
ทฤษฎีดาว คือ ทฤษฎีทางการเงินที่กล่าวว่าตลาดมี Trend ขาขึ้น หากค่าเฉลี่ยใดของเทรนด์สูงกว่าครั้งก่อนหน้า มันจะพาให้กลุ่มการเคลื่อนไหวของหุ้นในตลาดในกลุ่มอื่นขึ้นตาม
ที่มาของทฤษฎี
ทฤษฎี Dow เป็นแนวทางในการซื้อขายหุ้นที่พัฒนาโดย Charles H. Dow กับ Edward Jones และ Charles Bergstresser หลังจากนั้นเขาทั้งคู่ได้ก่อตั้ง Dow Jones & Company, Inc.
และพัฒนาดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones Industrial Average ในปี 1896 Dow อธิบายทฤษฎีในชุดของ บทบรรณาธิการใน Wall Street Journal ซึ่งเขาร่วมก่อตั้ง ซึ่งนั่นคือที่มาของชื่อทฤษฎี
Dow เชื่อว่าตลาดหุ้นเป็นตัวชี้วัดที่เชื่อถือได้ว่าสภาพธุรกิจโดยรวมในระบบเศรษฐกิจเป็นอย่างไร และเช่นเดียวกัน ในทางกลับกันเราสามารถทำการวิเคราะห์ตลาดโดยรวม แล้วใช้เงื่อนไขเหล่านั้น วัดทิศทางของการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นได้เช่นกัน ซึ่งนำไปสู่ทิศทางที่น่าจะเป็นของหุ้นแต่ละตัว
แนวคิดหลักของทฤษฎี Down
- ราคาได้สะท้อนทุกอย่างออกมาหมดแล้ว
ซึ่งสมมุติฐานนี้ของทฤษฎี Dow มาจากตลาดมีประสิทธิภาพ ซึ่งหลักการนี้นำไปสู่การคิดคำนวณ ของ Dow ที่ว่า ถ้าหากตลาดสะท้อนทุกอย่าง อยู่แล้ว กิจการก็สะท้อนเศรษฐกิจ ดังนั้นตัวแปรเศรษฐกิจก็สะท้อนทิศทางของหุ้นเช่นเดียวกัน
2 มีเทรนด์อยู่ 3 ประเภทในตลาด
Down มองตลาดในภาพรวมและให้ข้อเสนอว่า “ราคาของตลาดจะมีการเคลื่อนที่อย่างมีแนวโน้มเสมอ” ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบดังนี้
1.แนวโน้มหลัก – Primary trend
เป็นแนวโน้มที่มีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปีขึ้นไป
2 แนวโน้มรอง – Secondary trend
แนวโน้มนี้จะอยู่ระหว่างช่วงพักตัวของแนวโน้มหลัก
3 แนวโน้มย่อย – Minor trend
มีระยะเวลาน้อยกว่า 6 วัน เป็นเพียงการรบกวน (noise) เพราะมันไม่ส่งผลอะไรมากต่อตลาด
- เทรนด์หลัก จะแบ่งเป็น 3 เฟส (Primary Trend)
- ช่วงสะสมหุ้น (The accumulation phase)
- ช่วงคนเข้ามามีส่วนร่วม (The public participation phase)
- ช่วงที่กระจายของเทขาย (The distribution phase)
- ดัชนีต้องยืนยันกันและกันเสมอ
หมายความว่า ดัชนีของหลายตัว หลายอุตสาหกรรม ต้องยืนยันไปทิศทางเดียวกัน เช่น ถ้ากลุ่มอุตสาหกรรมใด เป็นขาขึ้น กลุ่มอื่น ๆ ก็จะทยอยเป็นขาขึ้นตามมา มันต้องยืนยันทิศทางกันและกัน
- ต้องมีปริมาณซื้อขายเพิ่มขึ้น
การเกิดเทรนด์ใด ๆ ต้องมีการเพิ่มขึ้นของปริมาณซื้อขายด้วย ไม่ใช่เพิ่มแค่ราคาอย่างเดียว
- เทรนด์จะอยู่ไปจนกว่าจะมีจุดกลับตัวที่ชัดเจน
เทรนด์อะไรก็ตาม จะอยู่ไปอยู่จนกลับตัวเกิดขึ้น ไม่ควรรีบร้อนสรุปว่า เทรนด์สิ้นสุดแล้ว พฤติกรรมราคาจะแสดงให้เห็นการกลับตัวที่ชัดเจนเอง
ทฤษฎีการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน คืออะไร
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) คือ วิธีการประเมินเพื่อหามูลค่าที่แท้จริงของหุ้น หรือ มูลค่าของกิจการ ที่เหมาะสมของ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานไม่ได้เกี่ยวข้องเฉพาะกับพื้นฐานของกิจการเพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องถึงปัจจัยภายนอก ได้แก่ เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และตัวบริษัทคู่แข่ง นโยบายการดำเนินงานอื่น ๆ ด้วย
แนวทางของการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเชื่อว่า ราคาหุ้นจะสะท้อนมูลค่าของกิจการ โดยมูลค่าของกิจการได้แก่ มูลค่าสินทรัพย์ และส่วนของเจ้าของ รวมทั้งผลประกอบการ ซึ่งถ้าหากมูลค่าของเจ้าของเพิ่มขึ้น ผลประกอบการดีขึ้น ราคาหุ้นย่อมดีขึ้นแน่นอน
แนวคิดปัจจัยพื้นฐานจึงเกี่ยวข้องกับปัจจัยต่อไปนี้
- การวิเคราะห์เศรษฐกิจ
- การวิเคราะห์ทิศทางอุตสาหกรรม
- การวิเคราะห์คู่แข่ง
- การวิเคราะห์งบการเงินและผลการดำเนินงาน
- การวิเคราะห์นโยบายบริษัท หรือที่เรียกว่า SWOT
การวิเคราะห์เศรษฐกิจ (Economic Analysis)
การวิเคราะห์เศรษฐกิจ คือ เป็นการวิเคราะห์แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจในอนาคต ทั้งระยะระยะยาวและระยะสั้น
- การวิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ เศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการวิเคราะห์วงจรเศรษฐกิจ
- การวิเคราะห์วัฎจักรของเศรษฐกิจ ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจ นโยบายเศรษฐกิจของรัฐ
- นโยบายการคลัง นโยบายระหว่างประเทศ ที่ส่งผลต่อธุรกิจและเศรษฐกิจ
การวิเคราะห์อุตสาหกรรม (Industry Analysis)
การวิเคราะห์อุตสาหกรรม คือ การวเคราะห์วงจรอุตสาหกรรม (Industry Life Cycle) การ
แข่งขันในอุสาหกรรม อนาคตของอุตสาหกรรม ถึงแนวโน้มและทิศทางการเติบโต ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น
- นโยบายรัฐ
- การสนับสนุนหรือเป็นอุปสรรคต่อโครงสร้างธุรกิจ
- การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษี โครงสร้างอุตสาหกรรมในประเทศ
การวิเคราะห์บริษัท (Company Analysis)
การวิเคราะห์บริษัท คือ ขั้นสุดท้ายของการวิเคราะห์หุ้น ด้วยปัจจัยพื้นฐาน เน้นไปที่เชิงคุณภาพ
ปัจจัยที่ต้องวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานบริษัท ได้แก่
- ประสบการณ์และความน่าเชื่อถือของผู้บริหาร
- บุคลากรและความสามารถด้านการตลาด การผลิต การบริการ
- การวิจัย การพัฒนา
- การบริหารและประสิทธิภาพการบริหาร
- การวิเคราะห์เชิงปริมาณ จากงบการเงินทั้งอดีตและปัจจัยของบริษัท
- การเติบโตของกิจการและงบการเงิน
ทฤษฎีการเดินแบบสุ่ม (Random Walk Theory)
ทฤษฎีการเดินสุ่ม คืออะไร
ทฤษฎีการเดินแบบสุ่ม คือ ทฤษฎีทางสถิติเป็นการอธิบายปรากฏการณ์บางอย่างผ่านแนวคิดที่ว่า ระบบและทิศทางของบางอย่างเป็นไปแบบสุ่ม
ทฤษฎี Random Walk มีแนวคิดว่า การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในอนาคตไม่สามารถคาดการณ์ได้จากการเคลื่อนไหวในอดีต และยอมรับว่า การเคลื่อนไหวของราคาตลาดนั้นคาดเดาไม่ได้จริง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ที่มาและแนวคิดของทฤษฎี
ทฤษฎีการเดินสุ่ม หรือ random walk Theory ไม่เชื่อทั้งการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์พื้นฐานว่าเป็นเครื่องมือที่ถูกต้องสำหรับการทำนายพฤติกรรมหุ้น
- ทฤษฎีนี้มีมาในช่วงปี 1953 แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมจนกระทั่งหนังสือ “A Random Walk Down Wall Street” ซึ่งเผยแพร่โดยนักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ชื่อ Burton Malkiel ในปี 1973
- ทฤษฎีระบุว่าราคาตลาดเป็นไปตามการเคลื่อนที่สุ่มขึ้นและลง
- เช่นฟังก์ชั่นการคำนวณทางเดินแบบสุ่มของตลาดหุ้น จะถูกกำหนดโดยการเคลื่อนไหวต่อเนื่องของขั้นตอนแบบสุ่มไม่ว่าราคาจะขึ้นหรือลง
- ทฤษฎี random walk มันสามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติจำนวนหนึ่งได้อย่างแม่นยำ
- ตัวอย่างการใช้งานในทฤษฎี ได้แก่ เส้นทางของโมเลกุลก๊าซและสัตว์เหมือนกัน
- พฤติกรรมแบบสุ่มนี้เป็นสิ่งที่ผู้สนับสนุนของทฤษฎีการเดินแบบสุ่มเห็นในแผนภูมิหุ้น
สำหรับผู้สนับสนุนของทฤษฎีนี้ จะแนะนำให้นักลงทุนใช้กลยุทธ์ซื้อและถือแทนที่จะพยายามทำตลาด และมีความเป็นไปได้ที่จะดีกว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะกำจัดความเสี่ยงออกไป ไม่ว่านักลงทุนจะได้รับข้อมูลอย่างดีเพียงใด
ทฤษฎีการเดินแบบสุ่มสอดคล้องกับความเชื่อที่ว่า “ตลาดมีประสิทธิภาพและเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะหรือคาดการณ์ตลาดได้”
เนื่องจากราคาหุ้นสะท้อนถึงข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมดและการเกิดข้อมูลใหม่ ๆ ดูเหมือนจะเป็นแบบสุ่มเช่นกัน
ทฤษฎี Modern Portfolio Theory
ตั้งปต่ปี 1952 มีนักลงทุนให้ความสนใจกับทฤษฎีการลงทนของ Harry Markowitz มาก เป็นที่รู้จักกันในชื่อ Modern Portfolio Theory : MPT ที่กล่าวถึงการลงทุนให้ความเสี่ยงต่ำที่สุด และให้ผลตอบแทนที่ดีได้เช่นกัน แล้วมันคืออะไร
ทฤษฎี Modern Portfolio Theory คืออะไร
ทฤษฎี Modern Portfolio Theory คือ แนวคิดการกระจายสินทรัพย์ จากการพยายามลดความเสี่ยง โดยที่ผลตอบแทนจะต้องไม่ลดลง มันเป็นงานวิจัยที่บุกเบิกวิชาเศรษฐศาสตร์ทางการเงินโดยนักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันชื่อ Harry Markowitz เขานำเสนอหลักการในบทความวิชาการหัวข้อ Portfolio Selection
เมื่อปี 1952 และได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์จากงานวิจัยนี้ในเวลาต่อมา
สิ่งที่เขาคิดค้นขึ้น เป็นแนวทางในการ เพิ่มประสิทธิภาพให้พอร์ตลงทุน แต่ละประเภททิศทางการขึ้นลงของราคาไม่ควรสัมพันธ์กันมากนัก เขาเชื่อว่า หากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นจะมี สินทรัพย์ประเภทหนึ่งปรับตัวลง แต่สินทรัพย์อีกประเภทปรับตัวขึ้น จะช่วยกัน ลดความผันผวนของมูลค่าพอร์ตโดยรวมได้
แนวคิดกระจายความเสี่ยง (Diversification)
การกระจายความเสี่ยง คือ การจัดสรรหุ้น โดยคัดเลือกหุ้นต่างประเภท ต่างอุตสาหกรรม มาจัดพอร์ตเพื่อถ่วงดุลกันและกันแล้ว สินทรัพย์แต่ละประเภทแต่ละหมวดควรจะมี มากกว่า 1 ตัว และที่สำคัญต้องไม่สัมพันธ์กันอย่างสิ้นเชิง ในระยะสั้นและระยะยาว
หลักการเบื้องต้นของการเลือกหุ้นในการกระจายความเสี่ยง
การเลือกหุ้นเพื่อการกระจายความเสี่ยงต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
- ความสัมพันธ์ระยะสั้นและระยะยาวต้องไม่มีความสัมพันธ์เป็นบวก หรือ ลบ
- ความสัมพันธ์ต้องไม่มีความสัมพันธ์เชิงปัจจัยพื้นฐาน
- ความสัมพันธ์กันต้องไม่มีความสัมพันธ์กันในเชิงปัจจัยเศรษฐกิจ
- ความสัมพันธ์ต้องไม่มีความสัมพันธ์ทางอุตสาหกรรม
- ความสัมพันธ์ต้องไม่มีความสัมพันธ์กันเชิงเศรษบกิจโลก
ตัวอย่างเช่น หุ้น และ พันธบัตร รัฐบาล ที่ไม่สัมพันธ์กันในยามเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ จะมีตัวหนึ่งขึ้น ตัวหนึ่งลงอยู่เสมอ
การกระจายความเสี่ยงช่วยได้มากเพราะว่า ลดความผิดพลาดในการจัดการกับตลาด หรือจับจังหวะตลาดได้ไม่ดี หากนำไปลงทุนในตัวใดตัวหนึ่งก็จะทำให้ขาดทุนหนักได้อย่างที่คุณเคยได้ยินว่า
“อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว”
Warren Buffet
ทฤษฎีพฤติกรรมการลงทุน
ทฤษฎีพฤติกรรมการลงทุน จำแนกนักลงทุนออกเป็นลักษณะของการยอมรับความเสี่ยง ทำให้ได้ผลตอบแทนแตกต่างกัน
กล่าวคือ นักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้มาก ก็จะมีโอกาสได้ผลตอบแทนมาก ขณะที่นักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้น้อยก็จะมีผลตอบแทนน้อยเช่นเดียวกัน
ลักษณะของการยอมรับความเสี่ยง
การยอมรับความเสี่ยงของนักลงทุน ทำให้สามารถแบ่งนักลงทุนออกได้ 3 ประเภท คือ
- นักลงทุนที่หลีกเลี่ยงความเสี่ยง(Risk-Averse Investor)
- นักลงทุนที่ชอบความเสี่ยง (Risk-Loving Investor)
- นักลงทุนที่ไม่สนใจความเสี่ยง (Risk-Neutral Investor)
นักลงทุนที่หลีกเลี่ยงความเสี่ยง (Risk-Averse Investment)
นักลงทุนประเภทนี้จะไม่ชอบความเสี่ยง เมื่อมีความเสี่ยงจะไม่ลงทุน และจะเลือกผลตอบแทนน้อย ๆ ก็ตาม เพราะยอมรับความเสี่ยงไม่ได้ ตัวอย่างเช่น แทนที่จะลงทุนในหุ้นแต่มันเสี่ยงที่จะขาดทุนก็จะไม่เลือกลงทุน แล้วไปเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า
นักลงทุนที่ชอบความเสี่ยง (Risk-Loving Investor)
นักลงทุนประเภทชอบความเสี่ยง คือ นักลงทุนที่มีแนวคิดว่า ยอมรับการขาดทุนได้สูง แต่ก็ยังไม่ชอบทที่จะเสียเงินทั้งก้อน ทำให้ได้ผลตอบแทนสูงในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้บ้าง แตกต่างกับนักลงทุนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเพราะว่า ไม่ยอมรับเลย
นักลงทุนที่ไม่สนใจความเสี่ยง (Risk-Neutral Investor)
นักลงทุนที่ไม่สนใจความเสี่ยง คือ นักลงทุนที่ไม่สนว่าความเสี่ยงคืออะไร พิจารณาแต่เรื่องผลตอบแทนอย่างเดียวเท่านั้น ยอมรับการสูญเงินลงทุนได้ทั้งก้อน ไม่ว่าผลตอบแทนจะเท่าไหร่ จะพิจารณาผลตอบแทนเป็นหลัก
ด้วยหลักการนี้ การลงทุนใด ๆ จะต้องมีการประเมินความเสี่ยงของนักลงทุนที่ยอมรับได้ก่อน เรียกว่า Suitability Test ซึ่งจะทำการประเมินก่อนการลงทุน โดยผู้ลงทุนจะถูกประเมินโดย “นักการตลาด” หรือ Marketing หรือผู้ที่มีใบอนุญาตการซื้อขายหลักทรัพย์
ทฤษฎีการลงทุนอื่น ๆ
ทฤษฎี The January Effect
ปรากฏการณ์เดือนมกราคม มีความสัมพันธ์กับภาระภาษีที่ต้องจ่ายในการขายหุ้นตอน โดยเชื่อว่านักลงทุนจะขายหุ้นที่มีราคาลดต่ำลงจากราคาในเดือนก่อนหน้านี้ เพื่อให้รับรู้ผลกำไรขาดทุนก่อนสิ้น
ปี
- นักลงทุนจะไม่นำเงินที่ได้นั้นไปลงทุนจนถึงปีถัดไป
- ดังนั้น อุปสงค์และอุปทานของตลาดจึงสูงขึ้น
- อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีนี้เหมือนจะใช้ไม่ได้กับประเทศไทย
ทฤษฎี Day of The Week Effect
ทฤษฎีนี้ คือ วันหนึ่งของสัปดาห์ เช่น วันจันทร์เป็นวันที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้น้อยสุดหรืออาจติดลบ วันพุธและวันศุกร์ถือเป็นวันดีที่สุดโดยหลักทรัพย์สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงสุด
ทฤษฎีจิตวิทยามวลชนกับการลงทุน
เป็นศาสตร์ที่นำทฤษฎีด้านพฤติกรรมทางสังคม และอารมณ์มนุษย์ มาอธิบายการตัดสินใจของนัก
ลงทุน
- ซึ่งการวิเคราะห์เชิงปริมาณ ปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัยทางเทคนิค และข่าวลือ มีผลกระทบต่อการตัดสินใจ
- จิตวิทยามวลชนเป็นการวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมและอารมณ์ของมวลชนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
- ร่วมกับการพิจารณาระดับของความมองโลกในแง่ดีของคนเหล่านี้
- ทำให้สามารถเราเลือกโอกาสในการลงทุนได้ และทำให้เกิดการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)ทฤษฎีพื้นฐานของกิจการ
ที่มาของข้อมูล
- http://thaiejournal.com/journal/2556volumes3F/20.pdf
- http://mslib.kku.ac.th/elib/multim/books/Economic2554/WORADET%20LERTCHANA/05_ch2.pdf
- https://www.basiamjournal.org/images/documents/journal_24/journal-24-5-1.pdf
- https://www.investopedia.com/articles/financial-theory/controversial-financial-theories.asp
- http://library1.nida.ac.th/nida_jour0/NJv42nspecial_05.pdf
- https://www.investopedia.com/terms/d/dowtheory.asp