dow theory คือ อะไร ทำความรู้จักกับทฤษฎีดาวอย่างละเอียด

IUX Markets Bonus

ทฤษฎี Dow เบื้องต้น

ทฤษฎี Dow Theroy กำเนิดมาเมื่อ 100 ปีแล้ว แต่ยังใช้ได้ในตลาดปัจจุบัน และวิธีการวิเคราะห์ก้อใช้ได้มาจนถึงปัจจุบัน

  • Dow Theory ถูกคิดค้นขึ้นโดย Charles Dow
  • เรียบเรียงอีกครั้งโดย William Hamilton
  • และนำมาขยายความและรวบรวมเป็นตำราโดย Robert Rhea
  • Down Theory ไม่เพียงกล่าวถึงการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการเคลื่อนไหวของราคา Forex หุ้น คริปโตเท่านั้น
  • แต่ยังรวมถึงปรัชญาของตลาดอื่น ๆ ด้วย
  • แนวคิดและความคิดเห็นมากมายที่ Dow และ Hamilton นำเสนอกลายเป็นปรัชญาการเทรดของ Wall Street
  • แม้ว่าจะมีผู้ที่อาจคิดว่า ตลาดเปลี่ยนไปแล้ว
  • แต่เนื้อหาในหนังสือ The Dow Theory ของ Rhea ก็พิสูจน์ว่าตลาดหุ้นในปัจจุบันมีพฤติกรรมเช่นเดียวกันกับเมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว

Dow Theory คือ อะไร

ในระดับ Advance ทฤษฎีดาวจะอธิบาย Trend ของตลาดและพฤติกรรมของราคาที่ละเอียดยิ่งขึ้น จะให้สัญญาณการเทรดที่สามารถใช้เพื่อระบุและซื้อขายกับ Trend ตลาดได้

  • ทฤษฎีนี้เน้นที่การระบุแนว Trend ของ Dow Jones
  • ถูกใช้กับ Dow Jones Industrial Average เพื่อใช้ยืนยัน Trend
  • หากค่าเฉลี่ยของ Dow Jones มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน ก็อาจกล่าวได้ว่าทั้งตลาดมีแนวโน้มเช่นเดียวกัน
  • นักลงทุนสามารถใช้สัญญาณเหล่านี้เพื่อระบุเทรนด์ในตลาดได้

แนวคิด

แนวคิดของทฤษฎี Down คล้ายคลึงกับการขึ้นลงของน้ำทะเล เช่น เวลาน้ำขึ้นคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งแต่ละลูกจะถูกขยับสูงกว่าสูงกว่าคลื่นครั้งก่อนหน้า

  • ตรงกันข้าม ช่วงที่น้ำทะเลเริ่มลดลง ลูกคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งจะมีระดับลดลง
  • การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นก็มีลักษณะเดียวกับการเคลื่อนไหวของกระแสน้ำในทะเล
  • ตอนขาขึ้นระยะทางที่หุ้นวิ่งขึ้นจะสูงกว่าระยะทางที่หุ้นราคาลดลง
  • แต่ตอนขาลงระยะทางที่หุ้นตกลงจะยาวกว่าจะระยะทางที่หุ้นวิ่งขึ้น จากแนวความคิดพื้นฐานนี้ได้ถูกพัฒนามาจนกระทั่งทุกวันนี้

ทฤษฎี Dow Theory คืออะไร

ทฤษฎีดาว คือ ทฤษฎีทางการเงินที่กล่าวว่าตลาดมีแนวโน้มสูงขึ้นหากค่าเฉลี่ยอย่างใดอย่างหนึ่งสูงกว่าก่อนหน้านี้

  • ตามมาด้วยดัชนีที่คล้ายคลึงกัน ตัวอย่างเช่น หาก Dow Jones Industrial Average (DJIA) ขึ้นไปดัชนี Dow Jones (DJTA) จะตามมาภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
  • ทฤษฎีดาวเป็นกรอบวิเคราะห์ทางเทคนิคที่คาดการณ์ว่า Trend สูงขึ้น เทรนด์อื่น จะตามมา

 

ความเป็นมา

 YWO Promotion

Charles Dow คิดค้นทฤษฎี Dow จากการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาในตลาดในช่วงปลายศตวรรษที่ 19

  • จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2445 Charles Dow เป็นเจ้าของร่วมและเป็นบรรณาธิการของ The Wall Street Journal
  • แม้ว่าเขาไม่เคยเขียนหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎี Dow เลย
  • แต่เขาเขียน บทความหลายฉบับที่สะท้อนมุมมองของเขาเกี่ยวกับการเก็งกำไรราคาหุ้น

แม้ว่า Charles Dow จะได้รับเครดิตในการพัฒนาทฤษฎี Dow แต่ S.A. Nelson และ William Hamilton เป็นเรียบเรียงทฤษฎีนี้ให้กลายเป็นสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

  • เนลสันเขียน The ABC of Stock Speculation และเป็นคนแรกที่ใช้คำว่า “Dow Theory”
  • Hamilton ปรับปรุงทฤษฎีเพิ่มเติมผ่านชุดบทความใน The Wall Street Journal ตั้งแต่ปี 1902 ถึง 1929
  • แฮมิลตันยังเขียน The Stock Market Barometer ในปี 1922 และได้พยายามอธิบายทฤษฎี Dow อย่างละเอียด

ในปี 1932 Robert Rhea ได้ปรับปรุงการวิเคราะห์ Dow และ Hamilton เพิ่มเติมในหนังสือของเขา The Dow Theory

  • โดย Rhea อ่าน และถอดความในบทความ 252 บทซึ่ง Dow (1900-1902) และ Hamilton (1902-1929) ได้ตีความความคิดของพวกเขาในตลาด
  • ในงานของเขา Rhea ได้กล่าวถึง The Stock Market Barometer ของ Hamilton

สมมุติฐานของ Dow Theory

ก่อนที่จะเริ่มยอมรับทฤษฎีดาว มีข้อสันนิษฐานหลายประการที่ต้องยอมรับเกี่ยวทฤษฎีก่อน Rhea กล่าวว่าสำหรับการประยุกต์ใช้ทฤษฎี Dow ที่ประสบความสำเร็จ ต้องยอมรับสมมุติฐานว่าเป็นดังต่อไปนี้ 3 ข้อ

  • ข้อสันนิษฐานแรกคือ ไม่มีการแทรกแทรงแนวโน้มหลัก หรือ Primary Trend ได้
  • สมมติฐานที่สองคือตลาดสะท้อนถึงข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมดแล้ว
  • ข้อสันนิษฐานที่สามคือทฤษฎีไม่มีข้อผิดพลาด

ทฤษฎีดาว 6 ข้อ

  1. ราคาได้สะท้อนทุกอย่างไว้หมดแล้ว

Dow ให้ข้อเสนอว่าทุกอย่างนั้นได้ถูกสะท้อนเป็นราคาในช่วงเวลานั้น ๆ โดย ‘ราคา’ จะเป็นสิ่งสะท้อนของภาพรวมในตลาด ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่

1 ราคาได้สะท้อนทุกอย่างไว้หมดแล้ว

  • ผลกระทบทางการเมือง
  • ข่าวทางเศรษฐกิจ
  • ปัจจัยทางพื้นฐานต่างๆ
  • ความต้องการของนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาด
  • ถ้าเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น
  • ราคามักจะสะท้อนออกมาก่อนที่บริษัทจะประกาศผลประกอบการหรือข่าวในบริษัทเสมอ
  1. ตลาดมีการเคลื่อนไหวหลักๆ อยู่ 3 รูปแบบ

เมื่อมองตลาดในภาพรวมแล้ว Dow ให้ข้อเสนอว่าราคาของตลาดจะมีการเคลื่อนที่อย่างมีแนวโน้มเสมอ ไม่ว่าจะ ขึ้น (Bull market) หรือลง (Bear market) ซึ่งแนวโน้มนี้อาจแบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบดังนี้

2 ตลาดมีการเคลื่อนไหวหลักๆ อยู่ 3 รูปแบบ

1 แนวโน้มหลัก Primary trend

  • Primary Trend คือ แนวโน้มที่มีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปีขึ้นไป
  • Trend ใหญ่ หรือระยะยาว โดยปกติจะใช้เวลา 200 วันขึ้นไป
  • และอาจยาวนานถึง 4 ปี ซึ่งแบ่งเป็น

ขาขึ้น

  • จุดต่ำสุดใหม่จะสูงกว่าจุดต่ำสุดเก่า
  • จุดสูงสุดใหม่จะสูงกว่าจุดสูงสุดเก่า
  • และระยะเวลาทีหุ้นวิ่งขึ้นจะยาวกว่าระยะเวลาที่หุ้นวิ่งลง

ขาลง

  • จุดต่ำสุดใหม่จะต่ำกว่าจุดต่ำสุดเก่า
  • จุดสูงสุดใหม่จะต่ำกว่าจุดสูงสุดเก่า
  • และระยะเวลาทีหุ้นวิ่งลงจะยาวกว่าระยะเวลาที่หุ้นวิ่งขึ้น

2 แนวโน้มรอง

Secondary trend เทรนด์รองนี้จะอยู่ระหว่างช่วงพักตัวของแนวโน้มหลัก แนวโน้มรอง หรือเป็นเทรนด์ระยะกลาง

  • โดยมากใช้ระยะเวลาตั้งแต่ 3 สัปดาห์จนถึงหลายเดือนก็ได้
  • โดยแนวโน้มรองนี้จะรวมตัวกันเป็นแนวโน้มใหญ่


3
แนวโน้มย่อย

เทรนด์ย่อย หรือเป็นแนวโน้มระยะสั้น แนวโน้มย่อยนี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มรอง

  • เป็นการเคลื่อนไหวของดัชนีเป็นรายวันถึงไม่เกิน 3 สัปดาห์
  • ซึ่งเราจะไม่ให้ความสำคัญกับแนวโน้มนี้มากนักเพราะมีความผันผวนสูง
  • มักมองเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแนวโน้มรองและแนวโน้มใหญ่ครับ
  • Minor trend มีระยะเวลาน้อยกว่า 6 วัน
  1. แนวโน้มหลัก (primary Trend) แบ่งเป็น 3 ช่วงใหญ่

ช่วงสะสมหุ้น (The accumulation phase)

  • เมื่อราคาหุ้นลดลงมากๆ และมีระยะเวลาที่ติดต่อกันนาน
  • มูลค่าการซื้อ-ขาย น้อยลงอย่างมาก
  • ช่วงรายใหญ่เก็บหุ้น
  • ช่วงนี้ราคาจะไม่ขึ้นจนกว่าจะเก็บของเสร็จ

ช่วงมหาชนมีส่วนร่วม (The public participation phase)

หุ้นในช่วงนี้นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มสนใจ เพราะเห็นว่ามันมีแนวโน้มที่ชัดเจน

  • โดยอย่างยิ่ง ใครที่เล่นตาม  Trend Following  ก็จะกระโจนเข้ามาในช่วงนี้
  • เพื่อจะทำกำไรตามหุ้นที่ขึ้นอย่างร้อนแรง
  • อาจยังไม่ข่าวออกมาแต่ราคาหุ้นเริ่มมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน

ช่วงแจกจ่ายหรือปล่อยของ (The distribution phase)

คนเหล่านี้ เห็นหุ้นขึ้นมาร้อนแรง เห็นข่าวดีมากมาย นักลงทุนส่วนใหญ่กระโดดเข้าไปตาม ซึ่งมักจะเป็นช่วงที่ตลาดขึ้นไปสุดแล้ว มันเป็นจุดเริ่มต้นของขาลงในที่สุด

  1. ราคาต้องยืนยันซึ่งกันและกัน

ในกรณีมีสัญญาณการเกิดแนวโน้มของราคาไม่ว่าขึ้นหรือลง มันควรพิสูจน์ได้จากราคาที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มนั้น เมื่อ Dow เพิ่งริเริ่มทฤษฎีนี้นั้น

  • เขาให้ความเห็นว่าหากหุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภคค่าสูงขึ้นจนได้ New high
  • ดังนั้นราคาของหุ้น ต้องได้ New high ด้วย
  • จึงจะสามารถพิสูจน์และยืนยันทิศทางขาขึ้นของดัชนีหุ้นในสหรัฐ
  1. ปริมาณวอลุ่มยืนยันทิศทางราคา

เหตุการณ์นี้คือ หากภาพรวมของตลาดมีแนวโน้มขาขึ้น ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ของตลาดควรจะเพิ่มขึ้นด้วย

  • และในช่วงพัก Volume จึงควรหดตัว
  • ตรงกันข้าม ตลาดมีแนวโน้มขาลงและราคาปรับตัวลง ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ของตลาดควรจะเพิ่มขึ้น
  • แต่ควรหดตัวในช่วง Rebound
  1. แนวโน้มจะเกิดขึ้นต่อเนื่องจนกว่าจะเกิดสัญญาณที่พิสูจน์ได้ว่าแนวโน้มนั้นจะจบลง

จากสมมุติของ Dow เชื่อว่าแนวโน้มจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะเกิดสัญญาณเปลี่ยนแนวโน้มหรือสัญญาณการกลับตัว

  • Dow เสนอว่าแนวโน้มหรือ Trend ของตลาดนั้นจะมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
  • จนกว่าจะเห็นการเปลี่ยนทิศทางอย่างชัดเจน

หนังสือ ทฤษฎีดาว dow theory

ดาวน์โหลดหนังสือ

 Exness Promotion
PNFPB Install PWA using share icon

For IOS and IPAD browsers, Install PWA using add to home screen in ios safari browser or add to dock option in macos safari browser