SL TP กับความสำคัญในการจัดการความเสี่ยง

IUX Markets Bonus

Stop Loss และ Take Profit กับการจัดการความเสี่ยง

การจัดการความเสี่ยงเป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุดสำหรับนักเทรดทุกคน ในขณะที่การทำกำไรเป็นเป้าหมายหลัก การรักษาเงินทุนควรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเสมอ วิธีหลักในการจัดการความเสี่ยงคือการใช้คำสั่ง Stop Loss (SL) และ Take Profit (TP) อย่างมีกลยุทธ์ คำสั่ง SL และ TP ช่วยให้นักเทรดสามารถออกจากตลาดได้อย่างมีวินัยและเป็นกลาง โดยไม่ถูกอิทธิพลจากอารมณ์ในสองขั้วสุดโต่ง

SL และ TP ในการจัดการความเสี่ยง
SL และ TP ในการจัดการความเสี่ยง

ความหมายของ Stop Loss และ Take Profit

Stop Loss (SL) คืออะไร

Stop Loss หรือที่เรียกว่าคำสั่ง Stop Loss เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยงสำหรับนักเทรดในตลาดการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาด Forex คำสั่งนี้ถูกออกแบบมาเพื่อจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากการเทรด โดยการปิดสถานะการซื้อขายโดยอัตโนมัติเมื่อราคาเคลื่อนไหวไปถึงระดับที่กำหนดไว้ล่วงหน้า [1]

ในทางปฏิบัติ Stop Loss ทำหน้าที่เสมือนเป็น “สัญญาณเตือนภัย” ที่คอยปกป้องเงินทุนของนักเทรดจากการขาดทุนที่มากเกินไป โดยจะทำงานดังนี้:

  • สำหรับสถานะ Long (ซื้อ): Stop Loss จะถูกตั้งไว้ต่ำกว่าราคาที่เข้าซื้อ
  • สำหรับสถานะ Short (ขาย): Stop Loss จะถูกตั้งไว้สูงกว่าราคาที่เข้าขาย

เมื่อราคาตลาดเคลื่อนที่ไปถึงระดับ Stop Loss ที่กำหนดไว้ คำสั่งจะถูกเปลี่ยนเป็นคำสั่งตลาด (Market Order) และจะปิดสถานะการซื้อขายทันทีที่ราคาตลาดที่ดีที่สุดในขณะนั้น

Take Profit (TP) คืออะไร

Take Profit (TP) หรือที่เรียกว่าคำสั่ง Take Profit เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการการเทรดในตลาดการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาด Forex คำสั่งนี้ถูกออกแบบมาเพื่อปิดสถานะการซื้อขายโดยอัตโนมัติเมื่อราคาเคลื่อนไหวไปถึงระดับกำไรที่กำหนดไว้ล่วงหน้า [2]

ในทางปฏิบัติ Take Profit ทำหน้าที่เสมือนเป็น “เป้าหมายกำไร” ที่นักเทรดตั้งไว้สำหรับแต่ละการเทรด โดยจะทำงานดังนี้:

  • สำหรับสถานะ Long (ซื้อ): Take Profit จะถูกตั้งไว้สูงกว่าราคาที่เข้าซื้อ
  • สำหรับสถานะ Short (ขาย): Take Profit จะถูกตั้งไว้ต่ำกว่าราคาที่เข้าขาย
 YWO Promotion

เมื่อราคาตลาดเคลื่อนที่ไปถึงระดับ Take Profit ที่กำหนดไว้ คำสั่งจะถูกเปลี่ยนเป็นคำสั่งตลาด (Market Order) และจะปิดสถานะการซื้อขายทันทีที่ราคาตลาดที่ดีที่สุดในขณะนั้น

ความสำคัญของ Stop Loss และ Take Profit ในการจัดการความเสี่ยง

การใช้ Stop Loss และ Take Profit มีความสำคัญอย่างยิ่งในการจัดการความเสี่ยงในการเทรด ต่อไปนี้คือประโยชน์หลักของการใช้คำสั่งเหล่านี้:

  1. การจำกัดความเสี่ยง: Stop Loss ช่วยให้นักเทรดสามารถกำหนดขอบเขตการขาดทุนสูงสุดที่ยอมรับได้สำหรับแต่ละการเทรด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการบริหารความเสี่ยงที่ดี [1]
  2. การล็อคกำไร: Take Profit ช่วยให้นักเทรดสามารถล็อคกำไรที่ได้มาแล้ว โดยไม่ต้องกังวลว่าตลาดจะกลับทิศทางและทำให้กำไรหายไป [2]
  3. การควบคุมอารมณ์: การใช้ Stop Loss และ Take Profit ช่วยลดความกดดันทางอารมณ์ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเทรด เนื่องจากนักเทรดรู้ว่ามีการจำกัดการขาดทุนและเป้าหมายกำไรที่ชัดเจน [1][2]
  4. การทำงานอัตโนมัติ: Stop Loss และ Take Profit ทำงานโดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องคอยเฝ้าดูหน้าจอตลอดเวลา ช่วยให้นักเทรดสามารถจัดการเวลาได้ดีขึ้น [1][2]
  5. การป้องกันการขาดทุนรุนแรง: ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดในตลาด เช่น ข่าวสำคัญหรือความผันผวนรุนแรง Stop Loss จะช่วยปกป้องนักเทรดจากการขาดทุนที่อาจเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ [1]
  6. การส่งเสริมวินัยในการเทรด: การใช้ Stop Loss และ Take Profit อย่างสม่ำเสมอช่วยสร้างวินัยในการเทรด ทำให้นักเทรดยึดมั่นในแผนการเทรดที่วางไว้ [1][2]
  7. การวางแผนการเทรด: การกำหนด Stop Loss และ Take Profit ช่วยให้นักเทรดสามารถวางแผนอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio) ได้อย่างชัดเจน [2]
  8. การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการพอร์ตโฟลิโอ: Stop Loss และ Take Profit ช่วยให้นักเทรดสามารถจัดการหลายๆ การเทรดพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะพลาดการปิดสถานะเมื่อราคาเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง [1]
Stop loss และ Take Profit กับการจัดการความเสี่ยง
Stop loss และ Take Profit กับการจัดการความเสี่ยง

วิธีการคำนวณและกำหนดระดับ Stop Loss และ Take Profit

การกำหนดระดับ Stop Loss และ Take Profit ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือวิธีการคำนวณและกำหนดระดับ SL และ TP:

1. การใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค

  • แนวรับและแนวต้าน: ใช้ระดับแนวรับและแนวต้านที่สำคัญเพื่อกำหนด Stop Loss และ Take Profit โดยวาง SL ใต้แนวรับสำคัญสำหรับการเทรด Long และเหนือแนวต้านสำคัญสำหรับการเทรด Short [2]
  • เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages): ใช้เส้น MA ระยะยาว เช่น MA 200 วัน เป็นจุดอ้างอิงในการวาง Stop Loss สำหรับการเทรดตามแนวโน้ม [2]
  • Fibonacci Retracements: ใช้ระดับ Fibonacci เพื่อกำหนดจุด Stop Loss และ Take Profit โดยเฉพาะในการเทรดแบบ retracement [2]

2. การใช้ Average True Range (ATR)

ATR เป็นเครื่องมือวัดความผันผวนของตลาดที่สามารถนำมาใช้ในการกำหนดระดับ SL และ TP ได้ดังนี้:

  • Stop Loss: วาง SL ที่ระยะห่าง 1-2 เท่าของค่า ATR จากจุดเข้าเทรด
  • Take Profit: กำหนด TP ที่ระยะห่าง 2-3 เท่าของค่า ATR จากจุดเข้าเทรด

ตัวอย่าง: หากค่า ATR ของคู่เงิน EUR/USD เท่ากับ 100 pips และคุณเข้า Long ที่ราคา 1.2000 คุณอาจวาง SL ที่ 1.1900 (100 pips ต่ำกว่าจุดเข้า) และ TP ที่ 1.2200 (200 pips สูงกว่าจุดเข้า) [3]

3. การใช้เปอร์เซ็นต์ของเงินทุน

วิธีนี้เป็นการกำหนด SL และ TP โดยอิงกับเปอร์เซ็นต์ของเงินทุนในบัญชี:

  • Stop Loss: กำหนดความเสี่ยงไม่เกิน 1-2% ของเงินทุนในบัญชีต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
  • Take Profit: กำหนดเป้าหมายกำไรที่ 2-3 เท่าของความเสี่ยง เพื่อให้ได้อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio) ที่ดี

ตัวอย่าง: หากคุณมีเงินทุนในบัญชี $10,000 และต้องการจำกัดความเสี่ยงที่ 1% ต่อการเทรด คุณควรกำหนด SL ที่จุดที่จะทำให้ขาดทุนไม่เกิน $100 และกำหนด TP ที่จุดที่จะทำให้ได้กำไร $200-$300 เพื่อให้ได้ Risk-Reward Ratio ที่ 1:2 หรือ 1:3

4. การใช้ Volatility Stop

Volatility Stop เป็นวิธีการกำหนด Stop Loss ที่ปรับตัวตามความผันผวนของตลาด โดยใช้ค่าเฉลี่ยของ True Range หรือ ATR ในการคำนวณ:

  • Stop Loss: วาง SL ที่ค่าต่ำสุดหรือสูงสุดของ X วันล่าสุด บวกหรือลบด้วย Y เท่าของ ATR
  • Take Profit: กำหนด TP ที่ระยะห่าง 2-3 เท่าของระยะห่างจาก SL ถึงจุดเข้า

ตัวอย่าง: สำหรับการเทรด Long, SL = ค่าต่ำสุดของ 10 วันล่าสุด – (2 x ATR)

5. การใช้ Trailing Stop

Trailing Stop เป็นวิธีการที่ช่วยให้นักเทรดสามารถปรับระดับ Stop Loss ตามการเคลื่อนไหวของราคา ช่วยล็อคกำไรและปล่อยให้กำไรวิ่งต่อไปได้:

  • เริ่มต้นด้วยการวาง SL ตามวิธีการข้างต้น
  • เมื่อราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ต้องการ ให้ปรับ SL ตามการเคลื่อนไหวของราคา โดยรักษาระยะห่างที่กำหนดไว้

ตัวอย่าง: หากคุณใช้ Trailing Stop 50 pips สำหรับการเทรด Long EUR/USD ที่ 1.2000 เมื่อราคาขึ้นไปที่ 1.2060 SL จะถูกปรับขึ้นเป็น 1.2010

เทคนิคการใช้ Stop Loss และ Take Profit อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. พิจารณาสภาวะตลาด: ปรับ SL และ TP ให้เหมาะสมกับความผันผวนของตลาด ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง อาจต้องวาง SL ให้กว้างขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปิดสถานะก่อนเวลา
  2. ใช้ Multiple Time Frame Analysis: วิเคราะห์หลายกรอบเวลาเพื่อหาจุดวาง SL และ TP ที่สอดคล้องกับแนวโน้มในระยะยาวและระยะสั้น
  3. ปรับใช้กับกลยุทธ์การเทรดต่างๆ:
    • สำหรับการเทรดแนวโน้ม: วาง SL ใต้จุดต่ำสุดล่าสุดสำหรับแนวโน้มขาขึ้น หรือเหนือจุดสูงสุดล่าสุดสำหรับแนวโน้มขาลง
    • สำหรับการเทรดแกว่งตัว: วาง SL นอกกรอบการแกว่งตัวที่กำหนดไว้
    • สำหรับการเทรดแบบเบรกเอาท์: วาง SL ใต้แนวรับสำหรับการเบรกเอาท์ขาขึ้น หรือเหนือแนวต้านสำหรับการเบรกเอาท์ขาลง
  4. ใช้ Partial Take Profit: แบ่งการปิดสถานะออกเป็นส่วนๆ เช่น ปิด 50% ของสถานะที่เป้าหมายแรก และปิดส่วนที่เหลือที่เป้าหมายที่สอง
  5. ทดสอบและปรับปรุง: ใช้ Backtesting เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของกลยุทธ์ SL และ TP กับข้อมูลในอดีต และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
  6. พิจารณาใช้ Guaranteed Stop Loss: ในบางกรณี โดยเฉพาะเมื่อเทรดในช่วงที่มีความเสี่ยงสูง การใช้ Guaranteed Stop Loss อาจเป็นตัวเลือกที่ดี แม้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

ข้อควรระวังในการใช้ Stop Loss และ Take Profit

  1. Slippage: ในตลาดที่มีความผันผวนสูง อาจเกิด Slippage ทำให้ SL หรือ TP ถูกทริกเกอร์ที่ราคาแตกต่างจากที่ตั้งไว้
  2. Over-optimization: การปรับแต่ง SL และ TP มากเกินไปอาจนำไปสู่ Over-optimization ในการ Backtest ซึ่งอาจไม่ให้ผลลัพธ์ที่ดีในการเทรดจริง
  3. การวาง SL ที่แคบเกินไป: อาจทำให้ถูกปิดสถานะบ่อยเกินไปจากความผันผวนปกติของตลาด
  4. การวาง TP ที่ไกลเกินไป: อาจทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไรหากตลาดกลับตัวก่อนถึงเป้าหมาย
  5. การไม่ปรับ SL และ TP ตามสถานการณ์: ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การไม่ปรับ SL และ TP อาจทำให้พลาดโอกาสหรือเสี่ยงมากเกินไป

สรุป

Stop Loss และ Take Profit เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการจัดการความเสี่ยงและผลตอบแทนในการเทรด การใช้งานอย่างถูกต้องสามารถช่วยจำกัดการขาดทุน ล็อคกำไร และส่งเสริมวินัยในการเทรด อย่างไรก็ตาม การใช้ SL และ TP ที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยความเข้าใจในหลักการทำงาน การวางแผนที่ดี และการปรับใช้ให้เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและสภาวะตลาด

นักเทรดควรพัฒนาทักษะในการใช้ Stop Loss และ Take Profit ผ่านการฝึกฝนและการทดสอบอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการวิเคราะห์ผลการเทรดเพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น การใช้ SL และ TP อย่างชาญฉลาดร่วมกับการวิเคราะห์ตลาดที่แม่นยำ การจัดการเงินทุนที่ดี และการควบคุมอารมณ์ จะเป็นรากฐานสำคัญสู่ความสำเร็จในการเทรดในระยะยาว

อ้างอิง

[1] CoinEx. (2024). Optimal Risk Management in Futures Trading: Opening Take-Profit and Stop-Loss (TP/SL). Retrieved from https://medium.com/coinex/optimal-risk-management-in-futures-trading-opening-take-profit-and-stop-loss-tp-sl-96b7e7e313ce

[2] Quadcode Group. (2024). What is Stop Loss (SL) and Take Profit (TP) and how to Use It?. Retrieved from https://quadcode.com/blog/what-is-stop-loss-sl-and-take-profit-tp-and-how-to-use-it

[3] BabyPips.com Forum. (2018). TP and SL. Retrieved from https://forums.babypips.com/t/tp-and-sl/85039

 Exness Promotion
PNFPB Install PWA using share icon

For IOS and IPAD browsers, Install PWA using add to home screen in ios safari browser or add to dock option in macos safari browser