อำนาจซื้อ (Purchasing Power Parity) ทางเศรษฐศาสตร์ คืออะไร หมายถึงอะไร อำนาจซื้อลดลง คืออะไร แบ่งเป็นกี่ประเภท Relative PPP Absolute PPP

อำนาจซื้อ (Purchasing Power Parity) ทางเศรษฐศาสตร์ คืออะไร

1 อำนาจซื้อ (Purchasing Power Parity)

อำนาจซื้อ (Purchasing Power Parity, PPP) คือ หลักการในการประเมินความสมดุลของอัตราแลกเปลี่ยนที่อ้างอิงต่อราคาสินค้าและบริการในแต่ละประเทศ โดย PPP จะแสดงถึงสัดส่วนระหว่างมูลค่าเงินในแต่ละประเทศกับปริมาณสินค้าและบริการที่เงินนั้นสามารถซื้อได้ในแต่ละประเทศ

หลักการของ PPP คือ หากสินค้าหนึ่งๆ มีราคาเท่ากันในทุกประเทศ และอัตราแลกเปลี่ยนก็อยู่ในสัดส่วนที่สอดคล้องกันกับอัตราส่วนนั้นๆ ของราคาสินค้าและบริการ ซึ่งจะแสดงว่ามูลค่าเงินในแต่ละประเทศเท่ากัน ดังนั้น ผลิตภัณฑ์และบริการที่มีราคาเท่ากันจะมีค่าอย่างเท่าเทียมกันในทุกประเทศ ในการใช้ PPP สามารถช่วยในการวัดและเปรียบเทียบภาวะเศรษฐกิจของแต่ละประเทศโดยใช้เกณฑ์ที่เป็นกลาง ทำให้สามารถประเมินค่าของสินค้าและบริการในแต่ละประเทศในเชิงเปรียบเทียบได้อย่างถูกต้องและสมเหตุสมผล โดยทั่วไปมักจะใช้ PPP ในการวัดระดับความเจริญของเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ และใช้ในการเปรียบเทียบรายได้เฉลี่ยของประชากรในแต่ละประเทศด้วยกัน

อีกทั้ง PPP ยังสามารถใช้ในการประเมินการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการในแต่ละประเทศได้อีกด้วย โดยใช้ค่าเฉลี่ยของอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้า และบริการในแต่ละประเทศ หากมีการเปลี่ยนแปลงในอัตราการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าและบริการในประเทศใดๆ อาจจะทำให้ค่าของ PPP ในประเทศนั้นเปลี่ยนไปเช่นกัน และถึงแม้ว่า PPP จะมีประโยชน์ในการประเมินภาวะเศรษฐกิจ และการเปรียบเทียบรายได้เฉลี่ยของประชากรในแต่ละประเทศ แต่ยังมีข้อจำกัดในการใช้ PPP ด้วย เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่อาจทำให้ค่า PPP ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เช่น ความแตกต่างของระบบเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ การดำเนินการธุรกิจที่ต่างกัน สภาพการเปลี่ยนแปลงในการค้าและการลงทุน และปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการประเมิน PPP ของแต่ละประเทศได้

PPP หมายถึงอะไร

PPP ย่อมาจาก Purchasing Power Parity หมายถึง หลักการในการประเมินค่าสกุลเงินของแต่ละประเทศด้วยการใช้ราคาของสินค้าและบริการเทียบกับสกุลเงินนั้นๆในแต่ละประเทศ

การประเมินตามหลักการ PPP จะใช้สินค้าหรือบริการที่เป็นพื้นฐานเช่น ข้าวสาร หรือค่าบริการในการรักษาสุขภาพ และดูว่ามูลค่าของสินค้าหรือบริการเหล่านั้นในแต่ละประเทศมีค่าเท่าๆ กันหรือไม่ แล้วจึงนำมาเปรียบเทียบกับสกุลเงินในแต่ละประเทศเพื่อทำการประเมินค่าอำนาจซื้อของสกุลเงินนั้นๆ โดยมีค่า PPP เท่ากับอัตราแลกเปลี่ยนที่ทำให้มูลค่าของสินค้าหรือบริการเท่ากันในทุกๆ ประเทศ

อำนาจซื้อลดลง คืออะไร

อำนาจซื้อลดลง คือ การลดลงของค่าอำนาจซื้อของสกุลเงินในประเทศนั้นๆ ทำให้ปริมาณสินค้าและบริการที่สามารถซื้อด้วยจำนวนเงินที่มีมูลค่าเท่าเดิมลดลง ลดลงของอำนาจซื้อไม่ได้หมายความว่าราคาของสินค้าและบริการจะลดลงด้วย เนื่องจากการลดลงของอำนาจซื้ออาจจะเกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เปลี่ยนแปลง แต่ราคาของสินค้าและบริการไม่เปลี่ยนแปลง

อำนาจซื้อลดลงอาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากการเพิ่มผลิตภัณฑ์หรือบริการในตลาดของประเทศนั้นๆ ทำให้ปริมาณสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ต้องใช้จำนวนเงินมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าและบริการเหล่านั้น นอกจากนี้ อำนาจซื้อลดลงยังอาจเกิดจากการเพิ่มอัตราแลกเปลี่ยนหรือการลดค่าใช้จ่ายของผู้ผลิตสินค้าและบริการที่ส่งผลให้เกิดการเพิ่มราคาของสินค้าและบริการในตลาดนั้นๆ ทำให้ต้องใช้จำนวนเงินมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าและบริการนั้นๆ

อำนาจซื้อ PPP แบ่งเป็นกี่ประเภท

อำนาจซื้อ PPP แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

  • 1. อำนาจซื้อซื้อในประเทศ (Domestic Purchasing Power Parity)
  • 2. อำนาจซื้อซื้อข้ามชาติ (International Purchasing Power Parity)

ประเภทที่ 1 อำนาจซื้อซื้อในประเทศ (Domestic Purchasing Power Parity)

อำนาจซื้อซื้อในประเทศ (Domestic Purchasing Power Parity) เป็นการวัดอำนาจซื้อของสกุลเงินในประเทศเดียวกัน โดยใช้ราคาสินค้าและบริการในประเทศนั้นๆ เป็นพื้นฐานในการคำนวณ

อำนาจซื้อซื้อในประเทศ (Domestic Purchasing Power Parity) หมายถึง การวัดอำนาจซื้อของสกุลเงินในประเทศเดียวกัน โดยใช้ราคาสินค้าและบริการในประเทศนั้นเป็นพื้นฐานในการคำนวณ ซึ่งมีวิธีการประมาณค่าได้หลายวิธี แต่วิธีที่ทำได้ง่ายและเป็นที่นิยมคือ การคำนวณค่าอำนาจซื้อของสินค้าหรือบริการเดียวกันในประเทศ โดยใช้ราคาเฉลี่ยของสินค้าหรือบริการนั้นในประเทศเดียวกันเป็นหลักในการคำนวณ

เช่น ถ้าสินค้าหนึ่งมีราคาเฉลี่ยในประเทศ A คือ 100 บาท และมีราคาเฉลี่ยในประเทศ B คือ 200 หน่วยสกุลเงินของประเทศ B ในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนเป็น 1 หน่วยสกุลเงินของประเทศ B เท่ากับ 20 บาท แสดงว่า อำนาจซื้อของสกุลเงินในประเทศ A มากกว่า อำนาจซื้อของสกุลเงินในประเทศ B เนื่องจากสินค้าเดียวกันมีราคาเฉลี่ยในประเทศ A น้อยกว่าหน่วยสกุลเงินของประเทศ B ดังนั้น การใช้งานอำนาจซื้อซื้อในประเทศนั้นช่วยให้สามารถวัดระดับความเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศได้ อีกทั้งยังสามารถช่วยให้ผู้บริหารธุรกิจสามารถใช้ค่าอำนาจซื้อซื้อในประเทศ (Domestic Purchasing Power Parity) เพื่อเปรียบเทียบรายได้และค่าใช้จ่ายในประเทศต่างๆ รวมถึงการวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงของตลาดในประเทศนั้นๆ ได้อีกด้วย การใช้งานอำนาจซื้อซื้อในประเทศยังสามารถช่วยในการวางแผนการเจริญเติบโตและการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ โดยที่ผู้บริหารธุรกิจสามารถใช้ข้อมูลอำนาจซื้อเพื่อวางแผนการจัดซื้อสินค้าหรือเพิ่มเติมการผลิตในประเทศที่มีอำนาจซื้อสูงกว่า และหลีกเลี่ยงการซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบจากประเทศที่มีอำนาจซื้อต่ำกว่า ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จและเจริญเติบโตได้ดีขึ้น

ประเภทที่ 2 อำนาจซื้อซื้อข้ามชาติ (International Purchasing Power Parity)

เป็นการวัดอำนาจซื้อของสกุลเงินต่างๆ ระหว่างประเทศ โดยใช้ราคาสินค้าและบริการเป็นพื้นฐานในการคำนวณ โดยค่า PPP ในการวัดอำนาจซื้อของสกุลเงินแต่ละประเทศจะถูกนำไปใช้ในการเปรียบเทียบรายได้เฉลี่ยของประชากรในแต่ละประเทศ และสามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้ของความเจริญเติบโตของเศรษฐกิจของแต่ละประเทศได้

อำนาจซื้อซื้อข้ามชาติ (International Purchasing Power Parity) หมายถึง การวัดอำนาจซื้อของสกุลเงินต่างๆ ระหว่างประเทศ โดยใช้ราคาสินค้าและบริการเป็นพื้นฐานในการคำนวณ และค่า PPP ในการวัดอำนาจซื้อของสกุลเงินแต่ละประเทศจะถูกนำไปใช้ในการเปรียบเทียบรายได้เฉลี่ยของประชากรในแต่ละประเทศ ซึ่งจะช่วยให้สามารถวัดระดับความรวยและความเจริญเติบโตของแต่ละประเทศได้

โดยปกติแล้วจะใช้อัตราแลกเปลี่ยนเพื่อแปลงสกุลเงินระหว่างประเทศ เพื่อทำให้สามารถเปรียบเทียบราคาของสินค้าและบริการระหว่างประเทศได้ แต่วิธีการนี้มีข้อจำกัดในการประเมินความสมจริง เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนอาจมีการแปรผันได้ขึ้นอยู่กับตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้ค่าการแลกเปลี่ยนอาจไม่สอดคล้องกับราคาของสินค้าและบริการในประเทศนั้นๆ ด้วยเหตุนี้ จึงใช้ PPP ในการวัดอำนาจซื้อของสกุลเงินต่างๆ ระหว่างประเทศ PPP จะใช้ราคาของสินค้าและบริการเป็นพื้นฐานในการคำนวณ ซึ่งจะประมาณค่าอย่างเหมาะสมสำหรับการเปรียบเทียบรายได้ของประชากรในแต่ละประเทศได้

Relative PPP คืออะไร

Relative PPP (Relative Purchasing Power Parity) คือ หลักการทางเศรษฐศาสตร์ที่ใช้ในการวัดและเปรียบเทียบราคาสินค้าระหว่างสองประเทศ โดยพิจารณาความแตกต่างของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสองประเทศในการประเมินภาวะการซื้อของสินค้าในแต่ละประเทศ

กรณที่ Relative PPP เป็นจริง

จะได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราแลกเปลี่ยนและราคาสินค้าระหว่างสองประเทศจะเป็นคงที่ คือ หากอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสองประเทศเปลี่ยนแปลง เช่นเพิ่มขึ้น 10% จะต้องมีการปรับราคาสินค้าในแต่ละประเทศให้เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราแลกเปลี่ยนและราคาสินค้าไม่เปลี่ยนแปลง

Relative PPP นี้ ยังมีประโยชน์ในการวิเคราะห์อัตราแลกเปลี่ยน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการวิเคราะห์ความแข็งแกร่งของสกุลเงินของประเทศต่างๆ แต่ก็มีข้อจำกัด เนื่องจาก Relative PPP นั้นไม่สามารถใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าระหว่างประเทศได้อย่างแม่นยำเสมอไป ซึ่งอาจเป็นเพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่อาจส่งผลต่อราคาสินค้าในแต่ละประเทศไม่เท่ากัน ในการใช้ Relative PPP นั้นจึงต้องใช้ความแม่นยำของข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ด้วย

ยกตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์ Relative PPP นั้นอาจไม่สามารถนำไปใช้กับสินค้าที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงราคาได้ง่าย เช่น บริการด้านการศึกษาหรือบริการด้านการแพทย์

การวิเคราะห์ Relative PPP ยังมีข้อจำกัดในการใช้วัดความเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งอาจไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกันได้อย่างถูกต้อง เนื่องจาก Relative PPP ไม่สามารถตอบสนองถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจได้ เช่น ความไม่เสถียรของระบบเศรษฐกิจ สภาพการเมือง ปัจจัยด้านสังคมและวัฒนธรรม รวมถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับกลางของเศรษฐกิจโลก เช่น สินค้าที่ผลิต

ดังนั้น การใช้ Relative PPP ในการวิเคราะห์แนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยนจึงควรจะต้องใช้ร่วมกับการวิเคราะห์อื่นๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำและมีประโยชน์ในการตัดสินใจการลงทุน และการวางแผนธุรกิจในสถานการณ์ที่ต่างๆ ในตลาดการค้าระหว่างประเทศ อย่างไรก็ดี Relative PPP ยังเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการวิเคราะห์อัตราแลกเปลี่ยนในระยะสั้นๆ โดยเฉพาะในการวิเคราะห์ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงเวลาสั้นๆ เช่น วันหรือสัปดาห์ เพราะ Relative PPP นั้นได้

Absolute PPP คืออะไร

Absolute PPP (Absolute Purchasing Power Parity) คือ หลักการทางเศรษฐศาสตร์ที่ใช้ในการวัดและเปรียบเทียบความคุ้มค่าของสินค้าระหว่างประเทศ โดยพิจารณาถึงอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินระหว่างประเทศ และราคาสินค้าที่ใช้สำหรับเปรียบเทียบเป็นเวลานาน ๆ หรือในขณะที่สกุลเงินมีความแข็งแรงและเสถียรกับต่อสกุลเงินอื่น ๆ

ในกรณีที่ Absolute PPP เป็นจริง

จะได้ว่า ราคาของสินค้าในแต่ละประเทศจะต้องเท่ากันหมด โดยคำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินแต่ละประเทศ กล่าวคือ หากอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสองประเทศเปลี่ยนแปลง เช่นเพิ่มขึ้น 10% ราคาสินค้าในแต่ละประเทศจะต้องปรับให้เท่ากัน หากไม่ปรับให้เท่ากัน จะเกิดโอกาสในการซื้อขายสินค้าต่างประเทศและทำกำไรได้ และในระยะยาว ๆ ราคาสินค้าจะเปลี่ยนแปลงให้เท่ากันในทุกประเทศ

Absolute PPP นั้นมีข้อจำกัดในการใช้งาน เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจของแต่ละประเทศไม่สามารถเหมือนกันทั่วไป และยังไม่คำนึงถึงความแตกต่างของสินค้าและบริการที่ผลิตและให้บริการในแต่ละประเทศด้วย น้ำหนักของการใช้ Absolute PPP ในการวิเคราะห์แนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนยังมีข้อจำกัดเนื่องจากต้องใช้ข้อมูลระยะยาว ๆ เพื่อทำการเปรียบเทียบราคาสินค้าในประเทศต่าง ๆ ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลไม่สามารถรองรับการวิเคราะห์ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ เช่น สภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี รวมถึงสิ่งที่ไม่สามารถปรับค่าได้ เช่น ความแตกต่างในเทคโนโลยีการผลิตระหว่างประเทศ

การวิเคราะห์แนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยนโดยใช้ Absolute PPP ยังมีข้อจำกัดเพิ่มเติม เนื่องจาก Absolute PPP ไม่สามารถวิเคราะห์และอธิบายความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นในระยะสั้น ๆ ได้อย่างถูกต้อง และยังไม่สามารถใช้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนกับสภาวะเศรษฐกิจได้ ในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนมีผลต่อการค้าของแต่ละประเทศ

ดังนั้นในทางปฏิบัติ Absolute PPP จึงนิยมใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์และประเมินความคุ้มค่าของสินค้าระหว่างประเทศเมื่อมองในระยะยาว ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการวางแผนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการค้าข้ามชาติในการวิเคราะห์อัตราแลกเปลี่ยนในระยะสั้น ๆ นักลงทุนและผู้ประกอบการมักใช้ Relative PPP เนื่องจากสามารถให้ข้อมูลที่อ้างอิงถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในระยะสั้น ๆ ได้ โดย Relative PPP จะวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนโดยการเปรียบเทียบความคุ้มค่าของสินค้าในแต่ละประเทศ ซึ่งเป็นข้อแตกต่างกับ Absolute PPP ที่วิเคราะห์ความคุ้มค่าของสินค้าระหว่างประเทศโดยตรงด้วยการเปรียบเทียบอัตราแลกเปลี่ยน แต่ Relative PPP ก็ยังมีข้อจำกัดในการใช้งานเช่นกัน

สูตร Purchasing Power Parity Formula

สามารถเขียนเป็นสูตรได้ดังนี้:

  • Exchange rate (ER) = (Price level in foreign country / Price level in domestic country) x Domestic exchange rate

หรือ

  • ER = (Pf / Pd) x ED

โดยที่:

  • ER คือ อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศสองประเทศ
  • Pf คือ ราคาเฉลี่ยของสินค้าและบริการในประเทศต่างๆ (foreign country)
  • Pd คือ ราคาเฉลี่ยของสินค้าและบริการในประเทศเรา (domestic country)
  • ED คือ อัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบันของสกุลเงินในประเทศเรา
    2 โดยที่

สูตรนี้ใช้เพื่อเปรียบเทียบราคาสินค้าระหว่างประเทศ และช่วยประเมินแนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคต ในการคำนวณนี้ จำเป็นต้องมีการใช้ข้อมูลราคาสินค้าและบริการที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันของทั้งสองประเทศในการประมวลผล อย่างไรก็ตาม การคำนวณ PPP ไม่ได้ใช้ในการวิเคราะห์อัตราแลกเปลี่ยนในระยะสั้น ๆ แต่เป็นเครื่องมือในการประเมินแนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยนในระยะยาว

ตัวอย่าง อำนาจซื้อ Purchasing Power Parity (PPP)

ตัวอย่างการใช้งานอำนาจซื้อ (Purchasing Power Parity) ในการเปรียบเทียบราคาสินค้าระหว่างประเทศ โดยมีตัวอย่างประเทศสองประเทศ คือ ประเทศ A และประเทศ B

สมมุติว่าสินค้า A มีราคาในประเทศ A อยู่ที่ 100 บาท

  • ในเวลาเดียวกันสินค้า A ในประเทศ B มีราคาอยู่ที่ 120 หน่วยสกุลเงินของประเทศ B
  • ถ้าใช้การแปลงอัตราแลกเปลี่ยนจากอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 30 บาทของประเทศ A และ 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 35 หน่วยสกุลเงินของประเทศ B
  • จะได้ว่า ราคาสินค้า A ในประเทศ B จะเท่ากับ 120/35 x 30 = 102.86 บาท ซึ่งมากกว่าราคาในประเทศ A

แต่ถ้าใช้ตัวเลขอำนาจซื้อ (PPP) ในการคำนวณ โดยคำนวณโดยใช้ราคาเฉลี่ยของสินค้าและบริการที่ใช้ในทั้งสองประเทศ อัตราแลกเปลี่ยนจะถูกปรับให้สอดคล้องกับราคาสินค้าของสองประเทศ จะได้ว่า

  • ราคาสินค้า A ในประเทศ B จะเท่ากับ 100 บาท โดยที่ราคาสินค้าในทั้งสองประเทศจะเท่ากัน เมื่อใช้วิธีการคำนวณ PPP อำนาจซื้อของสกุลเงินในทั้งสองประเทศจะมีความสมดุลกัน แสดงว่าสกุลเงินสองสกุลนี้มีอำนาจซื้อที่เท่ากัน

ดังนั้น PPP นั้นมีประโยชน์ในการเปรียบเทียบความคุ้มค่าของสินค้าระหว่างประเทศ และสามารถช่วยประเมินแนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยนได้ แต่ก็ต้องมีการใช้ข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยเพื่อประเมินอัตราแลกเปลี่ยนและการคำนวณ PPP ที่แม่นยำขึ้น