กลยุทธ์ราคา คืออะไร กลยุทธ์การปรับราคาสินค้า กลยุทธ์ตั้งราคาตามกลุ่มผู้บริโภค  การตั้งราคาตามแนวภูมิศาสตร์ ตามกลุ่มสินค้า

กลยุทธ์ราคา คืออะไร

กลยุทธ์ราคา (Price strategy) คือ วิธีการใช้ราคาของสินค้าหรือบริการ เพื่อเพิ่มผลกำไร และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในตลาด กลยุทธ์ราคาจะเน้นไปที่การกำหนดราคาของสินค้าหรือบริการในมุมมองของผู้ซื้อ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ เพิ่มกำไร ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ตลาดและการแข่งขันในตลาด กลยุทธ์ราคาสามารถใช้ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น กำหนดราคาต่ำกว่าคู่แข่ง เพื่อดึงดูดลูกค้า หรือกำหนดราคาสูงกว่าคู่แข่งเพื่อสร้างความเป็นไปได้ในการเพิ่มกำไร นอกจากนี้ยังมีกลยุทธ์ราคาอื่นๆ เช่น การกำหนดราคาของสินค้าหรือบริการเป็นชุดๆ เพื่อสร้างความน่าสนใจแก่ลูกค้า การลดราคาสำหรับการโปรโมชั่น เป็นต้น

ความเป็นมากลยุทธ์ราคา (Price strategy)

ประวัติกลยุทธ์ราคาเกี่ยวข้องกับการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงของตลาด โดยกลยุทธ์ราคาเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ช่วยสร้างกำไรและสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้าในตลาด

ในปี 1938 นักเศรษฐศาสตร์ชื่อ Philip Kotler ได้เริ่มพัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับกลยุทธ์การกำหนดราคาในการทำการตลาด ซึ่งได้รับการพัฒนาต่อยอดและเจริญเติบโตในอดีต หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง การตลาดกลายเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจและการแข่งขันในตลาดก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในช่วงยุค 1950-1960 การตลาดเริ่มสร้างความสำคัญในการบริหารธุรกิจ โดยเฉพาะในด้านการกำหนดราคา แนวคิดเริ่มต้นของกลยุทธ์ราคาในช่วงนั้นเป็นการกำหนดราคาของสินค้าหรือบริการโดยอิงจากต้นทุน ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการที่ง่ายและเป็นที่นิยมในช่วงนั้น

ในยุค 1970-1980 แนวคิดการกำหนดราคาเริ่มหันมาหลีกเลี่ยงการอิงราคาจากต้นทุนและเริ่มใช้วิธีการกำหนดราคาตามความต้องการของตลาด ซึ่งถือว่าเป็นการกำหนดราคาจากการวิเคราะห์ตลาดและการประยุกต์ใช้ มีการประมวลผลข้อมูลตลาด เพื่อหาความต้องการของลูกค้าและรูปแบบการซื้อขายที่เหมาะสม และจากนั้นกำหนดราคาสินค้าหรือบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดนั้น ๆ

โดยการกำหนดราคาตามความต้องการของตลาดจะช่วยให้บริษัทสามารถดึงดูดลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างกำไรให้กับธุรกิจได้อย่างเหมาะสม

ในยุคปัจจุบัน กลยุทธ์ราคาเป็นสิ่งสำคัญในการแข่งขันในตลาดที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้น ด้วยเหตุผลที่ธุรกิจในปัจจุบันต้องการกำไรและการเติบโตอย่างมาก ดังนั้นการกำหนดราคาเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้บริษัทสามารถดึงดูดลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างกำไรให้กับธุรกิจได้

นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น เทคโนโลยีดิจิทัล การตลาดออนไลน์ และเทคโนโลยีการเสนอราคาในเวลาจริง (real-time pricing) ก็ทำให้กลยุทธ์ราคาเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย และต้องปรับปรุงอยู่เสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มและความต้องการของตลาดในปัจจุบัน

ความสำคัญของกลยุทธ์ราคา (Price strategy)

กลยุทธ์ราคา (Price strategy) เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยกำหนดราคาสินค้าหรือบริการในตลาดอย่างเหมาะสม  เพื่อเพิ่มกำไรและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ดังนั้นความสำคัญของกลยุทธ์ราคาสามารถสรุปได้ดังนี้

เพิ่มกำไร

การกำหนดราคาให้เหมาะสมและดีต่อการขายสินค้าหรือบริการจะช่วยเพิ่มกำไรให้กับธุรกิจ โดยลดต้นทุนหรือเพิ่มราคาขายได้ เพื่อให้ได้กำไรมากขึ้น

พัฒนาตลาด

การกำหนดราคาให้เหมาะสมสามารถช่วยพัฒนาตลาดได้ เนื่องจากจะช่วยดึงดูดลูกค้ามาซื้อสินค้าหรือบริการในบริเวณตลาดนั้นๆ อีกทั้งยังช่วยให้ลูกค้าเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้าหรือบริการของบริษัท

สร้างความแข็งแกร่งในตลาด

การกำหนดราคาให้เหมาะสมจะช่วยให้บริษัทมีความแข็งแกร่งในตลาดมากขึ้น โดยการกำหนดราคาที่ดีจะช่วยลูกค้าให้มีความพึงพอใจกับสินค้าหรือบริการของบริษัท และเป็นการสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้า

สร้างความแตกต่าง

การกำหนดราคาเหมาะสมยังช่วยสร้างความแตกต่างในตลาดได้ โดยการกำหนดราคาที่นี้จะช่วยเพิ่มความเป็นเอกลักษณ์ของสินค้าหรือบริการของบริษัทในตลาด และช่วยเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในตลาดได้

การคุ้มค่าสำหรับลูกค้า

การกำหนดราคาให้เหมาะสมสามารถช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้ เนื่องจากลูกค้ามักจะต้องการสินค้าหรือบริการที่มีคุ้มค่าสูงสุดต่อราคาที่จ่ายไป ดังนั้นการกำหนดราคาที่เหมาะสมจะช่วยให้ลูกค้าพึงพอใจกับสินค้าหรือบริการของบริษัท และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในบริษัทในระยะยาว

การปรับตัวเข้ากับตลาด

การกำหนดราคาให้เหมาะสมยังช่วยให้บริษัทสามารถปรับตัวเข้ากับตลาดได้ โดยการปรับราคาให้เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถของตลาดจะช่วยให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดได้มากขึ้น ดังนั้นการกำหนดกลยุทธ์ราคาให้เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้า และเพิ่มกำไรให้กับธุรกิจของบริษัท โดยการวิเคราะห์ตลาดและการแข่งขันในตลาดเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดกลยุทธ์ราคาที่เหมาะสมและทำให้บริษัทเป็นไปได้

กลยุทธ์การปรับราคาสินค้า

กลยุทธ์การปรับราคาสินค้า หมายถึง วิธีการปรับเปลี่ยนราคาสินค้าเพื่อให้เหมาะสมกับตลาดและกำไรที่ต้องการ โดยใช้ข้อมูลตลาดและข้อมูลอื่นๆ เพื่อเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจในการกำหนดราคาสินค้า

กลยุทธ์การปรับราคาสินค้า 6 ข้อที่สำคัญ

ข้อที่ 1

กลยุทธ์การปรับราคาตามการแข่งขันในตลาด: บริษัทจะต้องวิเคราะห์ราคาสินค้าของคู่แข่งในตลาด และกำหนดราคาสินค้าให้เหมาะสมกับตลาด เพื่อที่จะเป็นไปได้ว่าราคาสินค้าของบริษัทจะสามารถแข่งขันได้กับคู่แข่งในตลาดได้อย่างเหมาะสม

ข้อที่ 2

กลยุทธ์การปรับราคาตามช่วงเวลา: บริษัทจะต้องวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในการตลาด และกำหนดราคาสินค้าให้เหมาะสมตามช่วงเวลา เช่น การกำหนดราคาสินค้าที่ต่ำกว่าราคาปกติในช่วงเทศกาล เป็นต้น

ข้อที่ 3

กลยุทธ์การปรับราคาตามต้นทุน: บริษัทจะต้องตรวจสอบต้นทุนการผลิตและกำหนดราคาสินค้าให้เหมาะสมกับต้นทุนการผลิต และทำการปรับราคาสินค้าให้เหมาะสมเมื่อต้นทุนการผลิตมีการเปลี่ยนแปลง

ข้อที่ 4

กลยุทธ์การปรับราคาตามตลาด: บริษัทจะต้องวิเคราะห์รูปแบบการซื้อขายของลูกค้าแต่ละกลุ่ม และกำหนดราคาสินค้าให้เหมาะสมตามความต้องการของลูกค้า โดยการกำหนดราคาสินค้าเหล่านี้จะต้องพิจารณาตลาดในแต่ละภูมิภาค และต้องกำหนดราคาให้เหมาะสมเมื่อเทียบกับราคาสินค้าของคู่แข่งในตลาด

ข้อที่ 5

กลยุทธ์การปรับราคาตามรูปแบบการขาย: บริษัทจะต้องวิเคราะห์รูปแบบการขายของลูกค้า เพื่อที่จะกำหนดราคาสินค้าให้เหมาะสมกับรูปแบบการขายนั้นๆ เช่น การกำหนดราคาสินค้าให้ต่ำกว่าราคาปกติในการขายออนไลน์ เป็นต้น

ข้อที่ 6

กลยุทธ์การปรับราคาสินค้าสำหรับสินค้าเก่า: บริษัทจะต้องกำหนดกลยุทธ์การปรับราคาสำหรับสินค้าเก่า เพื่อที่จะลดการเก็บสินค้าคงคลังและยอมรับกำไรที่ต่ำกว่าสินค้าใหม่

ความแตกต่าง Pricing Strategy กับ Pricing Strategy Matrix

Pricing Strategy และ Pricing Strategy Matrix เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวางแผนกลยุทธ์ราคาของธุรกิจ แต่มีความแตกต่างกันดังนี้

Pricing Strategy เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการกำหนดราคาของสินค้าหรือบริการ โดยการกำหนดราคาจะพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ต้นทุนการผลิต ความต้องการของลูกค้า คู่แข่งในตลาด ฯลฯ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจสามารถตั้งราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Pricing Strategy Matrix เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวางแผนกลยุทธ์ราคาของธุรกิจ โดยการวางแผนกลยุทธ์ราคาจะพิจารณาจากการวิเคราะห์ทั้งราคาและคุณภาพของสินค้าหรือบริการ และเน้นตัวเลือกเชิงกลยุทธ์ที่เป็นไปได้สี่ตัวเลือก คือ Premium Pricing, Penetration Pricing, Economy Pricing และ Skimming Pricing

ดังนั้นความแตกต่างระหว่าง Pricing Strategy กับ Pricing Strategy Matrix คือ Pricing Strategy ใช้ในการกำหนดราคาของสินค้าหรือบริการโดยไม่รวมการพิจารณาคุณภาพของสินค้าหรือบริการ ส่วน Pricing Strategy Matrix จะพิจารณาทั้งราคาและคุณภาพของสินค้าหรือบริการและเน้นตัวเลือกเชิงกลยุทธ์ที่เป็นไปได้สี่ตัวเลือกเท่านั้น

กลยุทธ์ตั้งราคาตามกลุ่มผู้บริโภค

กลยุทธ์ตั้งราคาตามกลุ่มผู้บริโภค (Price segmentation) เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในการกำหนดราคาสินค้าโดยการแบ่งกลุ่มลูกค้าตามคุณสมบัติหรือแบบพฤติกรรมในการซื้อสินค้า โดยกลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่มจะมีคุณลักษณะและความต้องการที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งจะส่งผลต่อการตั้งราคาสินค้าเพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่ม โดยมีกลุ่มลูกค้าที่สามารถนำมาใช้กับกลยุทธ์ตั้งราคาตามกลุ่มผู้บริโภค ได้แก่

1.กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูง: กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูงจะมีความพึงพอใจในสินค้าที่มีราคาสูงและมีคุณภาพดี ดังนั้นกลยุทธ์ตั้งราคาตามกลุ่มลูกค้านี้จะใช้การกำหนดราคาสินค้าสูงเพื่อสร้างมูลค่าและเสริมความเป็นทางการของสินค้า ตัวอย่างเช่น

  • นักธุรกิจและผู้บริหาร: กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูงอาจจะเป็นผู้บริหารและนักธุรกิจที่มีความต้องการในสินค้าและบริการที่มีคุณภาพสูง เช่น เสื้อผ้าที่ต้องการวัสดุที่ดี เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความเที่ยงตรงกับความต้องการ เป็นต้น
  • กลุ่มผู้บริหารและนักลงทุน: กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูงอาจจะเป็นผู้บริหารและนักลงทุนที่มีความต้องการในสินค้าและบริการที่มีคุณภาพสูงและสามารถสร้างมูลค่าและกำไรให้กับธุรกิจได้ เช่น อสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณค่าสูง เครื่องมือเทรดสำหรับการลงทุน เป็นต้น
  • กลุ่มผู้บริหารองค์กร: กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูงอาจจะเป็นผู้บริหารองค์กรที่มีความต้องการในการซื้อสินค้าและบริการเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและกำไรขององค์กร เช่น โปรแกรมสำหรับการบริหารจัดการองค์กร บริการคอนซัลแตนท์ เป็นต้น

2.กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ต่ำ: กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ต่ำจะมีความสำคัญกับราคาของสินค้า ดังนั้นกลยุทธ์ตั้งราคาตามกลุ่มลูกค้านี้จะใช้การกำหนดราคาสินค้าต่ำเพื่อเข้าถึงตลาดและเพิ่มปริมาณขาย ตัวอย่างเช่น

  • กลุ่มเรียนและนักศึกษา: กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ต่ำอาจจะเป็นนักเรียนและนักศึกษาที่ต้องการสินค้าและบริการที่ราคาถูกและสามารถเข้าถึงได้ง่าย เช่น อุปกรณ์เครื่องเขียน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
  • กลุ่มครอบครัวที่มีรายได้ต่ำ: กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ต่ำอาจจะเป็นครอบครัวที่ต้องการสินค้าและบริการที่ราคาถูกและสามารถเข้าถึงได้ง่าย เช่น อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก เป็นต้น
  • กลุ่มผู้สูงอายุ: กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ต่ำอาจจะเป็นผู้สูงอายุที่ต้องการสินค้าและบริการที่มีราคาถูกและเหมาะสมกับรายได้ของพวกเขา เช่น อาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุ ผลิตภัณฑ์สำหรับการดูแลสุขภาพ เป็นต้น

3.กลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการและคุณสมบัติเฉพาะ: กลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการและคุณสมบัติเฉพาะมักมีความสนใจในสินค้าหรือบริการที่มีคุณสมบัติเฉพาะ ดังนั้นกลยุทธ์ตั้งราคาตามกลุ่มผู้บริโภคนี้จะใช้การกำหนดราคาสินค้าเป็นไปตามคุณสมบัติที่ลูกค้าต้องการ เช่น สินค้ามีคุณสมบัติพิเศษ เป็นไปตามสไตล์การใช้ชีวิต หรือเป็นสินค้าแฟชั่น เป็นต้น

  • นักกีฬา: กลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการและคุณสมบัติเฉพาะอาจจะเป็นนักกีฬาที่ต้องการสินค้าและบริการที่เหมาะสมกับการใช้งานแบบพิเศษ เช่น เสื้อผ้าสำหรับกีฬาที่ออกแบบมาเพื่อให้ระบายความร้อนได้ดี เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการฝึกซ้อม เป็นต้น
  • กลุ่มสาวกเทคโนโลยีและผู้ใช้แอปพลิเคชัน: กลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการและคุณสมบัติเฉพาะอาจจะเป็นสาวกเทคโนโลยีและผู้ใช้แอปพลิเคชันที่ต้องการสินค้าและบริการที่เหมาะสมกับการใช้งานแบบพิเศษ เช่น อุปกรณ์เสริมสำหรับโทรศัพท์มือถือ เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานด้านเทคโนโลยี เป็นต้น
  • กลุ่มนักเดินทาง: กลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการและคุณสมบัติเฉพาะอาจจะเป็นนักเดินทางที่ต้องการสินค้าและบริการที่เหมาะสมกับการเดินทาง เช่น กระเป๋าเดินทางที่มีความทนทานและสามารถบรรจุของได้เยอะ เครื่องมือช่วยในการเดินทาง เช่น แผนที่และแอปพลิเคชันการเดินทาง เป็นต้น

การตั้งราคาตามกลุ่มผู้บริโภคนี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถกำหนดราคาสินค้าให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่ม และช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้าได้อย่างดี โดยผลกระทบที่ได้รับจากการใช้กลยุทธ์ตั้งราคาตามกลุ่มผู้บริโภคจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดและเพิ่มยอดขายของธุรกิจในระยะยาว

การตั้งราคาตามแนวภูมิศาสตร์

การตั้งราคาตามแนวภูมิศาสตร์ หมายถึง การกำหนดราคาของสินค้าหรือบริการตามพื้นที่ ที่สินค้าหรือบริการนั้นจะถูกจำหน่ายออกไป พื้นที่นั้นอาจจะเป็นท้องถิ่นหรือประเทศก็ได้ จะพิจารณาความแตกต่างในสภาพภูมิศาสตร์และสภาพเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่เพื่อกำหนดราคาที่เหมาะสมและสามารถแข่งขันได้ในแต่ละพื้นที่

ตัวอย่างเช่น การตั้งราคาตามแนวภูมิศาสตร์

สินค้าหนึ่งอาจมีราคาต่างกันในแต่ละประเทศ หรือแม้แต่ในแต่ละเมืองของประเทศเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในตลาดสินค้าทั่วโลก เนื่องจากการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้านั้นมีการใช้ทรัพยากรและค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าเข้าถึงแต่ละพื้นที่ที่แตกต่างกัน ทั้งนี้การตั้งราคาตามแนวภูมิศาสตร์จะเป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดราคาสินค้าที่เหมาะสมและสามารถแข่งขันได้ในแต่ละพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งราคาสินค้าสำหรับตลาดในพื้นที่ท้องถิ่นหรือตลาดสินค้าระดับโลก และการตั้งราคาตามแนวภูมิศาสตร์สามารถแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ ดังนี้

การตั้งราคาสินค้าหรือบริการตามท้องถิ่น จะสอดคล้องกับระดับราคาในพื้นที่นั้น ซึ่งการตั้งราคาดังกล่าวจะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในพื้นที่นั้นได้เป็นอย่างดี สำหรับการตั้งราคาตามระดับภูมิภาค สามารถแบ่งเป็นการตั้งราคาตามประเทศหรือภูมิภาคต่างๆ โดยใช้เกณฑ์เช่นอัตราแลกเปลี่ยน ระดับการใช้งานของลูกค้า รวมถึงการปรับราคาเพื่อการแข่งขันในตลาดแต่ละภูมิภาค และการตั้งราคาสำหรับตลาดระดับโลกจะพิจารณาการแข่งขันในตลาดระดับโลก รวมถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น ต้นทุนผลิต ความต้องการของลูกค้า และความต้องการของตลาด โดยสินค้าหรือบริการนั้นจะต้องสามารถแข่งขันได้ในตลาดระดับโลกโดยใช้ราคาที่เหมาะสมกับลูกค้าในแต่ละภูมิภาค

การตั้งราคาตามกลุ่มสินค้า

การตั้งราคาตามกลุ่มสินค้าเป็นการกำหนดราคาของสินค้าหรือบริการตามลักษณะและคุณลักษณะของสินค้าหรือบริการนั้น ซึ่งการตั้งราคาดังกล่าว จะช่วยให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น และช่วยเพิ่มกำไรให้กับธุรกิจได้มากขึ้น

ในการตั้งราคาตามกลุ่มสินค้า สามารถทำได้โดยการแบ่งสินค้าหรือบริการออกเป็นกลุ่มตามลักษณะและคุณลักษณะของสินค้า หรือการแบ่งตามกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการและพฤติกรรมการซื้อที่คล้ายคลึงกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น และสามารถสร้างความแตกต่างระหว่างสินค้าแต่ละกลุ่มได้ ทำให้ลูกค้ามีตัวเลือกในการเลือกซื้อสินค้าและสามารถสร้างความเชื่อมั่นในการซื้อสินค้าได้มากขึ้น

ตัวอย่าง

สินค้าแฟชั่นอาจจะถูกแบ่งเป็นกลุ่มตามประเภทสินค้า เช่น เสื้อผ้าหญิง กางเกงขาสั้น กระเป๋า เป็นต้น โดยการแบ่งสินค้าออกเป็นกลุ่มสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีความสนใจในแฟชั่นได้ และสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าอาจจะถูกแบ่งเป็นกลุ่มตามลักษณะการใช้งาน เช่น โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เป็นต้น และตั้งราคาตามความสามารถในการจ่ายของกลุ่มลูกค้า เช่น กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูงสามารถซื้อสินค้าที่มีราคาสูงขึ้นได้ ในขณะที่กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ต่ำอาจจะไม่สามารถซื้อสินค้าที่มีราคาสูงได้ ดังนั้นการตั้งราคาตามกลุ่มลูกค้าจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าได้มากขึ้น และช่วยให้ธุรกิจมีกำไรที่สูงขึ้นได้ทั้งปัจจุบันและอนาคต