EBIT คือ
EBIT คือ กำไรจากการดำเนินงาน ย่อมาจาก Earnings Before Interest and Tax เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กำไรจากการดำเนินงาน Operating Income หรือ Gross Margin
- กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี
- กำไรหลังหักต้นทุนขาย ค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายในการบริหาร
- ที่ไม่หักดอกเบี้ยและภาษีเนื่องจากทั้งดอกเบี้ยจ่าย และค่าใช้จ่ายทางภาษี เป็นผลกระทบที่ไม่ได้เกิดจากผลการดำเนินงานของบริษัท
- เครื่องมือที่ใช้วัดความสามารถในการทำกำไรของบริษัทโดยไม่คำนึงถึง ภาษี และ ต้นทุนของเงินทุน (Cost of Capital)
- การนำ EBIT ไปใช้วิเคราะห์ หรือเปรียบเทียบกับบริษัทอื่น ๆ ที่มีโครงสร้างเงินทุน (Capital Structure) ที่แตกต่างกันออกไปนั้นมีประโยชน์อย่างยิ่ง
เหตุที่ต้องแยก ดอกเบี้ยจ่าย และ ภาษีเงินได้ ออกมาให้เห็น เนื่องจากทั้ง 2 อย่าง คือ “ภาระทางการเงิน” และ“ภาระทางกฎหมาย” ที่บริษัทต้องรับผิดชอบ ซึ่งไม่ใช่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามปกติ เมื่อหักทั้ง 2 อย่างนี้แล้ว จะกลายเป็น กำไรสุทธิ (Net Profit) ซึ่งถือเป็น “กำไรขั้นสุดท้าย” ที่ธุรกิจนั้นทำได้
EBIT Margin คือ
EBIT Margin ก็คือ EBIT นั่นเอง เป็นตัวเดียวกัน คำนวณเหมือนกัน เป็นกำไรก่อนหักภาษีและดอกเบี้ยเหมือนกัน ยกตัวอย่างการหาค่า EBIT ในชีวิตประจำวัน
- ร้านอาหารมีต้นทุนค่าวัตถุดิบ 50 บาท
- ค่าจ้างพนักงาน 20 บาท
- ค่าบริหารงาน 20 บาท
- ยอดขายทั้งหมด 150 บาท
- EBIT Margin = (150- 50)-(20+20)
- EBIT Margin = 60 บาท
- Operating Profit Margin = 60%
สูตรการหา EBIT Margin
การหาค่า EBIT Margin สามารถหาได้ตามสูตร ดังนี้
EBIT = (ยอดขาย – ต้นทุน) – ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
EBIT Margin ดูที่ไหน
คุณสามารถเข้าไปดูข้อมูลของบริษัทที่คุณสนใจได้จาก www.set.or.th ตรงสรุปข้อมูลสารสนเทศบริษัทจดทะเบียน ข้อมูลต่าง ๆ จะแสดงเป็นตาราง
EBITDA คือ
EBITDA คือ กำไรจากการดำเนินงาน (Gross Margin) + ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) และ ค่าจัดจำหน่าย (Amortization) ย่อมาจาก Earnings Before Interest , Tax , Depreciation and Amortization
สามารถคำนวณได้จากกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย หรือก็คือ EBITDA คือ กำไรส่วนที่เป็นเงินสดจริง ๆ ของบริษัทนั่นเอง
โดยค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย เป็นส่วนที่เพิ่มมาจากผลการดำเนินงานปกติ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายทางบัญชีเท่านั้น บริษัทยังไม่ได้จ่ายเงินสดออกไปจริง ๆ หากค่าเสื่อมราคาและตัดจำหน่วยมีจำนวนมาก อาจส่งผลให้กำไรสุทธิของบริษัท net profit ติดลบได้
- EBITDA เป็นตัวเลขที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนทั่วโลกในการดูตัวเลขกำไรที่แท้จริง
- สามารถใช้ประมาณกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (operating cash flows) ได้ด้วย
- EBITDA จึงเป็นตัวเลขที่บ่งบอกถึงความสามารถในการดำเนินงานและรองรับค่าใช้จ่ายวันต่อวันของบริษัทได้โดยที่ไม่มีผลกระทบจากขั้นตอนการทำบัญชี
- เมื่อเอา EBITDA ของบริษัทต่างๆ มาเปรียบเทียบกัน สามารถมองเห็นความสามารถในการทำธุรกิจของแต่ละบริษัท เพราะ EBITDA คือกำไรที่เป็นเงินสด
- EBITDA ไม่แสดงอยู่ในงบกําไรขาดทุน จึงต้องคํานวณเองเพราะในงบการเงินของบริษัทจะให้เพียง EBIT มาให้
สูตรการหาค่า EBITDA
การหาค่า EBITDA สามารถหาได้จากสูตรง่าย ๆ ดังนี้
EBITDA = EBIT + ค่าเสื่อมราคา + ค่าตัดจำหน่าย
โดย
- ค่าเสื่อมราคา (depreciation) คือ ค่าใช้จ่ายที่หักจากการเสื่อมลงของสินทรัพย์ที่ใช้ประโยชน์ได้เป็นระยะเวลานาน เช่น รถยนต์ เครื่องจักร ตึก โรงงาน คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
- ค่าตัดจำหน่าย (amortization) คือ ค่าใช้จ่ายที่หักจากการเสื่อมของสินทรัพทย์ที่ไม่มีตัวตน เช่น ลิขสิทธ์ สิทธิ์การเช่าซื้อ สิทธิบัตร เป็นต้น
ทั้ง 2 รายการ เป็นรายจ่ายที่ไม่ใช่เงินสด แต่มูลค่าของสินทรัพย์ลดลง ทำให้กำไรสุทธิต่ำลง และไม่สามารถจ่ายปันผลเงินก้อนนี้ออกมาได้ ต้องเก็บไว้ซ่อมแซมสินทรัพย์ต่าง ๆ ให้ใช้งานได้
บางคนนิยมมอง EBITDA มากกว่า EBIT เพราะค่าเสื่อมเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานทางบัญชี เช่น อายุของอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงวิธีการตัดจ่ายค่าเสื่อม สามารถเลือกตัดค่าเสื่อมตามการใช้ง่าน ทั้งช้าและเร็ว
หากมองในแง่ลบ EBIT อาจเป็นช่องทางในการสับขาหลอกนักลงทุน ทำให้นักลงุทนเห็นกําไรที่มากกว่าหรือน้อยกว่าความเป็นจริง นําไปสู่ภาพรวมของบริษัทที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับผลประกอบการที่แท้จริงในแต่ละไตรมาสหรือแต่ละปี
EBITDA Margin คือ
EBITDA margin คือ การนำ EBITDA ไปหาเป็นเปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด ทำให้เราสามารถทราบกำไรที่แท้จริงของบริษัทว่าได้กำไรเป็นจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งตัวเลขตรงนี้มีความสำคัญมาก
- สามารถนำมาเปรียบเทียบทั้งกับผลการดำนานงานย้อนหลัง (time-series)
- สามารถเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นๆ (cross-sectional) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การเปรียบเทียบจะไม่มีผลกระทบจากความแตกต่างทางนโยบายการเงินบัญชีของต่างบริษัท
- EBITDA margin ได้รับความนิยมอย่างมากในการวัดผลธุรกิจในอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนเยอะ
- รวมถึงใช้วัดผลบริษัทที่มีการใช้เครื่องจักรหนักเยอะ เช่น น้ำมัน เหล็ก ปิโตรเคมี เพราะในช่วงเริ่มดำเนินการอาจมีกำไรสุทธิติดลบได้เนื่องจากมีค่าเสื่อมราคามาก
- การมีกำไรมากย่อมเป็นผลดีกับบริษัท แต่นักลงทุนควรคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่จะตามมาในภายหน้า
- ควรพิจารณาอัตราผลการดำเนินงาน EBIT margin และอัตรากำไรสุทธิ net profit margin ร่วมด้วย
- การที่ EBIT เป็นลบ แต่ EBITDA เป็นบวกติดกันหลายปี อาจแสดงให้เห็นว่าบริษัทไม่สามารถบริหารให้มีกำไรพอเลี้ยงค่าเสื่อมของสินทรัพย์ อาจทำให้มีปัญหาในภายหลัง
สูตรการหาค่า EBITDA Margin
การคำนวณหาค่า EBITDA Margin มีดังนี้
EBITDA Margin = EBITDA / รายได้ทั้งหมด
EBITDA Margin ที่ดี
ค่า EBITDA Margin ที่ดี ยิ่งมีค่าสูงก็ยิ่งดี เพราะค่า EBITDA Margin ที่สูง หมายถึง ธุรกิจสามารถสร้างกำไรหรือผลตอบแทนได้มาก
- EBITDA margin > 0 หรือ เป็นบวก หมายความว่าบริษัทยังมีกำไรจากการดำเนินงาน
- EBITDA margin < 0 หรือ เป็นลบ หมายความว่าบริษัทขาดทุน
บริษัทที่มีเงินลงทุนเริ่มต้นจำนวนสูง ๆ เช่น บริษัทที่มีโรงงานขนาดใหญ่ บริษัทที่ทำธุรกิจน้ำมันท่อแก๊ส บริษัทที่ทำธุรกิจเหมืองถ่านหิน บริษัทที่ทำธุรกิจโครงข่ายโทรศัพท์ บริษัทพวกนี้มีค่าเสื่อมและค่าตัดจําหน่ายสูง จึงนิยมใช้การอ้างอิง “EBITDA Margin” แทนการใช้ EBIT Margin
สรุป
EBIT คือ กำไรจากการดำเนินงาน หักค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ซึ่งค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้ถูกจ่ายออกไปจริง ๆ จึงถูกบวกกลับเข้ามาที่กำไรจากการดำเนินงาน และกลายเป็น EBITDA
EBITDA จึงถูกมองว่าเป็นความสามารถในการดำเนินงานที่แท้จริงของบริษัท ในการสร้างกระแสเงินสดหรือกำไรกลับมา หาก EBIT ติดลบ แต่ EBITDA เป็นบวกแสดงให้เห็นว่าบริหารงานไม่เก่ง สร้างรายได้ไม่พอเลี้ยงการเสื่อมสภาพของสินทรัพย์